บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ TEGH หรือบริษัทฯ หนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติและน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ในภาคตะวันออก และผู้นำด้านการผลิตเชิงนิเวศแบบครบวงจรที่นำพลังงานสะอาดมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิต ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ จำนวน 324 ล้านหุ้น เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บมจ.หลักทรัพย์กสิกรไทย และบล.ทรีนีตี้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม หวังระดมทุนสำหรับการลงทุนในโครงการในอนาคต เพื่อขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ และบริษัทในกลุ่ม ("กลุ่มบริษัทฯ")
นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของบริษัทฯ เพื่อประกอบการยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไป (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2565 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยบริษัทฯ จะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวนไม่เกิน 324 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 30 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ SET ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจการเกษตร ทั้งนี้ แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 270 ล้านหุ้น และ SK INTERTRADE PTE.LTD ในฐานะผู้ถือหุ้นเดิม เสนอขายหุ้นสามัญเดิม จำนวนไม่เกิน 54 ล้านหุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลัก 3 ธุรกิจ ได้แก่ 1.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ 2.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ และ 3.ธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ ผ่านการดำเนินงานของบริษัทย่อย จำนวน 11 บริษัท และการร่วมค้า จำนวน 1 บริษัท
น.ส.สุธางค์ คนศิลป กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ มีรายได้มาจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติเป็นหลัก โดยมีกลุ่มลูกค้าเป็นผู้ผลิตยางล้อชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำหรับผลการดำเนินงาน 3 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา (2562-2564) กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการตามงบการเงินรวม เท่ากับ 8,091.40 ล้านบาท 8,196.25 ล้านบาท และ 11,087.76 ล้านบาท ตามลำดับ และบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 52.65 ล้านบาท 37.65 ล้านบาท และ 562.64 ล้านบาท ตามลำดับ โดยในปี 2564 กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 524.99 ล้านบาท สอดคล้องกับรายได้จากการขายที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นายเฉลิม โกกนุทาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทฯ เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์ในการนำเงินระดมทุนที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการในอนาคตของกลุ่มบริษัทฯ โดยเป็นการสนับสนุนเป้าหมายของบริษัทฯ ในการสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงกระบวนการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ รวมถึงนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ในแต่ละปีหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมายกำหนด