‘บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร หรือ DRT’ เปิดแผนรับมือความเสี่ยงจากต้นทุนพลังงานพุ่ง ชูแนวคิด Circular Economy มุ่งบริหารจัดการทรัพยากรและพลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมมุ่งรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรทั้งปี 80-90% คุมต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำ หวังรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ 27-29%
นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์และบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์ บอร์ดตกแต่งผนัง อิฐมวลเบา คานทับหลัง เคาน์เตอร์มวลเบาสำเร็จรูป ร้านกาแฟสำเร็จรูป (DIAMOND Cafe) และบริการติดตั้งโครงหลังคาและกระเบื้องหลังคา ภายใต้เครื่องหมายการค้า ‘ตราเพชร’ เปิดเผยว่า สถานการณ์ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นในรอบ 10 ปี จากความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน ทำให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องเร่งบริหารจัดการต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งในส่วนของ DRT นั้น บริษัทฯ ได้ยึดหลัก Circular Economy เพื่อบริหารจัดการด้านทรัพยากรและพลังงานหมุนเวียนอย่างคุ้มค่า ด้วยแนวคิด 3R หรือ Reduce Reuse Recycle เป็นแกนหลักในการดำเนินงานสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีการติดตั้ง Solar Rooftop ของโรงงานอิฐมวลเบา จังหวัดสระบุรี และโรงงานที่จังหวัดขอนแก่น ที่มีขนาดรวม 420 กิโลวัตต์ และโครงการเปลี่ยนหลอดไฟแสงสว่างมาเป็นหลอด LED ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า การนำไอน้ำที่เกิดจากการผลิตกลับมาใช้ซ้ำที่ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรสูงสุด
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตที่มีการติดตั้งหุ่นยนต์ Robotic การนำระบบออโตเมชัน (Automation) และ IoT เข้ามาช่วยยกระดับโรงงานสู่ Smart Factory เพื่อทดแทนการเพิ่มแรงงาน ควบคู่การมุ่งรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยทั้งปีไม่ต่ำกว่า 80-90% ให้มีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำ สนับสนุนศักยภาพด้านการทำตลาดภายใต้กลยุทธ์ ‘สวยครบเซต ตราเพชรทั้งหลัง’ ให้แก่ผลิตภัณฑ์ ‘ตราเพชร’ ที่มีจุดแข็งด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์สามารถนำไปก่อสร้างบ้านได้ทั้งหลังและการบริหาร Product Mix จากแผนพัฒนาสินค้าใหม่ที่ชูจุดเด่นด้าน Function และ Fashion ที่เน้นผลิตภัณฑ์ที่ติดตั้งง่าย สะดวก รวดเร็ว มีรูปแบบและสีสันสวยงาม รองรับการฟื้นตัวของตลาดวัสดุก่อสร้างในปีนี้
“ความเสี่ยงจากปัจจัยลบด้านต้นทุนพลังงานเร่งตัวขึ้น แต่เชื่อมั่นว่าเราจะสามารถบริหารจัดการได้ โดยมีแผนงานปีนี้ที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สูงสุดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแผนบริหารจัดการด้าน Product Mix มุ่งเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าในกลุ่มที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี เพื่อมุ่งรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ 27-29% และผลักดันการเติบโต 5% ตามแผนที่วางไว้”