ตลาดหุ้นไทยออกโรงเตือนนักลงทุนรายย่อยเข้าเก็งกำไรในบริษัทจดทะเบียนที่ขยายธุรกิจสู่อุตสาหกรรมการขุดเหมืองคริปโตฯ ชี้ราคามีความผันผวนรุนแรง หลาย บจ.ราคาหุ้น และ P/E Ratio พุ่งทะลุเกินปัจจัยพื้นฐานหลายเท่า หากเกิดปัจจัยลบเข้ากระทบอาจไม่สามารถประเมินความเสียหายได้ เนื่องจากไม่สามารถควบคุมความเสี่ยงได้
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้กล่าวถึงสถานการณ์ของราคาหุ้นของ บจ.ที่เข้าลงทุนในธุรกิจเหมืองขุดบิตคอยน์ซึ่งมีความร้อนแรงในขณะนี้ว่า อาจมีความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะฉะนั้นขอให้นักลงทุนพิจารณาความเสี่ยงก่อนการลงทุนด้วยความระมัดระวัง ทั้งการซื้อและขาย โดยขอให้ศึกษาข้อเท็จจริงตลอดจนถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เกี่ยวกับการลงทุนในธุรกิจขุดเหมืองเงินดิจิทัล ให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจเข้าลงทุน
ขณะเดียวกัน ยังขอให้บริษัทสมาชิกทุกรายกำกับดูแลการซื้อขายและการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและเคร่งครัดเพื่อป้องกันภาวะการเก็งกำไรเกินควร และการส่งคำสั่งซื้อขายที่อาจไม่เหมาะสม หรือไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
อย่างไรก็ดี ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า มีหลักทรัพย์ที่มีการลงทุนในธุรกิจขุดเหมืองเงินดิจิทัล และมีสภาพการซื้อขายในลักษณะเก็งกำไรสูงหรือราคา มูลค่าการซื้อขาย และอัตราการหมุนเวียนเปลี่ยนมือปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้บริษัทจดทะเบียนจะได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่าไม่ได้มีสารสนเทศ หรือพัฒนาการที่สำคัญที่มีนัยสำคัญนอกเหนือจากที่แจ้งมาก่อนหน้านี้แล้วแต่อย่างใด เช่น หุ้น บมจ.ซิก้า อินโนเวชั่น หรือ ZIGA ราคาเพิ่มขึ้นกว่า 89% ด้วยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 1,970 ล้านบาทต่อวัน และ บมจ.จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น หรือ JTS ที่มีราคาพุ่งขึ้นกว่า 27% ด้วยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 363 ล้านบาทต่อวัน โดยเมื่อวันที่ 11 ก.พ.65 ที่ผ่านมา ทางสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ออกประกาศเตือนนักลงทุนผู้ถือหุ้น JTS ให้ไปใช้สิทธิออกเสียงกรณีเข้าลงทุนในธุรกิจเหมืองขุดบิตคอยน์ โดยที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเห็นว่า โครงการลงทุนดังกล่าวมีความเสี่ยงที่บริษัทไม่สามารถควบคุมได้
สำหรับการซื้อขายวันนี้ (14 ก.พ.) ตลท.ยังพบการเปลี่ยนแปลงที่สูงขึ้นของราคา มูลค่าการซื้อขายในอีกหลายหลักทรัพย์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการลงทุนในธุรกิจขุดเหมืองเงินดิจิทัล ได้แก่ บมจ.ซิก้า อินโนเวชั่น (ZIGA) ที่ราคาขึ้นไปสูงสุดของเพดานซื้อขายรายวัน บมจ.ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย (UPA) ราคาปรับเพิ่มขึ้นไปถึง 23.91% บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) ราคาเพิ่มขึ้น 20% และ บมจ.เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี (AJA) ราคาเพิ่มขึ้น 12.90% เป็นต้น ซึ่งสวนทางภาพรวมดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลง