xs
xsm
sm
md
lg

"KEX-OR-TIDLOR" หุ้นรุ่งสู่หุ้นรูด / สุนันท์ ศรีจันทรา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หุ้นบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส จำกัด (มหาชน) หรือ KEX หุ้นบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR หุ้นบริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เคยเป็นหุ้นยอดนิยม ราคาพุ่งทะยานอย่างร้อนแรงช่วงเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรกๆ

แต่วันนี้ KEX OR และ TIDLOR กำลังสิ้นลาย หมดสภาพการเป็นหุ้นเก็งกำไรยอดนิยม และบางตัวหลุดจากราคาจอง ทำให้นักลงทุนเจ็บตัวไปตามๆ กัน

หุ้นทั้ง 3 บริษัท ถือเป็นหุ้นน้องใหม่ขนาดใหญ่ที่รับความสนใจสูงในรอบ 2 ปี และการซื้อขายในวันแรกคึกคักสุดเหวี่ยง ขณะที่ราคาปรับตัวขึ้นแรง สร้างผลกำไรที่งดงามให้นักลงทุนที่จองซื้อ แต่วันนี้กลายเป็นหุ้นสร้างความเสียหายให้นักเก็งกำไรอย่างยับเยิน

เพราะราคาปักหัวลงต่อเนื่อง จนไม่เหลือคราบการเป็นหุ้นน้องใหม่ดาวรุ่งพุ่งแรง

KEX นำหุ้นเสนอขายนักลงทุนเป็นครั้งแรกในราคาหุ้นละ 28 บาท และเข้าซื้อขายวันแรก 24 ธันวาคม 2563 ราคาเปิดที่ 63 บาท ก่อนถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 73 บาท แต่ถูกเทขาย จนรูดลงมาปิดที่ 51.25 บาท สูงกว่าราคาจอง 23.15 บาท หรือสูงกว่าจอง 83.04%

ต้นปี 2564 KEX ยังเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก ราคาขึ้นไปสูงสุดที่ 62.25 บาท แต่หลังจากนั้นซึมลง จนต้นปี 2565 สถานการณ์ไม่ดีขึ้น และลงไปต่ำสุดที่ 23.40 บาท

ล่าสุด วันจันทร์ที่ 31 มกราคมกระเตื้องขึ้นมาปิดที่ 24.60 บาท ต่ำกว่าราคาจอง 3.40 บาท

KEX เป็นผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วน และจัดอยู่ในธุรกิจดาวรุ่งที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง นักลงทุนจึงแห่เก็งกำไร แต่ผลประกอบการบริษัทกลับไม่ได้เติบโตตามความคาดหมาย โดยงวด 9 เดือนแรกปี 2564 มีกำไรสุทธิ 651.26 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,030.07 ล้านบาท และนำมาสู่การเทขายหุ้น

KEX ขณะนี้เป็นหนังคนละม้วนกับช่วงเข้าตลาดหุ้น ซึ่งมีการโหมประโคมข่าว ปลุกเร้าให้นักลงทุนแห่เก็งกำไรจนตกเป็นเหยื่อของหุ้นตัวนี้ เพราะขาดทุนกันหนัก ติดดอยกันเป็นแถว

ส่วน OR เป็นหุ้นใหม่ยอดนิยมแห่งปี 2564 โดยนำหุ้นเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อ และได้รับสิทธิการจัดสรรโดยเท่าเทียม เฉลี่ยผู้ที่ได้รับการจัดสรรสูงสุดคนละประมาณ 4,500 หุ้น ในราคาหุ้นละ 18 บาท มีผู้จองซื้อรวมทั้งสิ้นกว่า 5.3 แสนราย

OR เข้ามาซื้อขายวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 โดยเปิดที่ราคา 26.50 บาท และขึ้นไปสูงสุดระหว่างชั่วโมงซื้อขายที่ 29.50 บาท ก่อนอ่อนตัวลงมาปิดที่ 29.25 บาท สูงกว่าจอง 11.25 สตาง หรือสูงกว่าจอง 62.50%

หลังจากขึ้นไปสูงสุดที่ 36.50 บาท หุ้น OR เริ่มอับเฉาลง ราคาปรับตัวลงต่อเนื่อง จนล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 31 มกราคมปิดที่ 24.60 บาท แม้ยังสูงกว่าราคาจอง แต่ก็ปรับตัวลงมากว่า 10 บาท เมื่อเทียบกับราคาที่เคยพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุด

ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกปี 2564 หุ้น OR มีอัตราการเติบโตที่ดี มีกำไรสุทธิ 9,120.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,868.49 ล้านบาท และมีค่าพี/อี เรโช ประมาณ 24 เท่า ซึ่งถือว่าไม่สูงนัก แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นแต่อย่างใด

นักลงทุนที่แห่เก็งกำไรหุ้น OR ช่วงแรกที่เข้าตลาดและไม่ได้เทขายทำกำไรไปก่อน ตอนนี้คงเข้าเนื้อไปแล้ว

ส่วน TIDLOR นำหุ้นเสนอขายนักลงทุนในครั้งแรกราคาหุ้นละ 36.50 บาท และถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเสนอขายในราคาที่สูงเกินไป โดยมีค่าพี/อี เรโช สูงกว่าหุ้นในกลุ่มนอนแบงก์ด้วยกัน แต่สามารถขายหุ้นได้หมดเกลี้ยง

TIDLOR เข้าซื้อขายวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 โดยเปิดที่ราคา 53.50 บาท และขึ้นไปสูงสุดที่ 55.50 บาท ก่อนอ่อนตัวลงมาปิดที่ 45.75 บาท สูงกว่าจอง 9.25 บาท หรือสูงกว่าจอง 25.34%

แต่หลังจากนั้นปรับฐานลงต่อเนื่อง แม้ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกปี 2564 จะเติบโตก็ตาม โดยมีกำไรสุทธิ 2,373.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,792.89 ล้านบาท

ล่าสุด วันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา หุ้น TIDLOR ปิดที่ 35.25 บาท ต่ำกว่าจอง 1.25 บาท

หุ้นน้องใหม่ขนาดใหญ่ยอดนิยมทั้ง 3 บริษัท คึกคักสุดขีดในช่วงแรกของการเข้าซื้อขาย แต่ใครตามแห่เก็งกำไร และขายทิ้งไม่ทัน วันนี้เจ็บหนัก

นักเก็งกำไรหุ้นใหม่ได้รับบทเรียนอีกครั้ง บทเรียนที่เตือนว่า อย่าหลงกระแสเก็งกำไรหุ้นใหม่ อย่าหลวมตัวตามแห่ไล่ราคาในวันแรกๆ

เพราะถ้าพลาดถือหุ้นติดมือ ต้องติดดอย ขาดทุนป่นปี้ เช่นเดียวกับการพลาดท่าเสียทีหุ้น KEK OR และ TIDLOR ซึ่งแปลงร่างจากหุ้นดาวรุ่งกลายเป็นหุ้นดาวรูดไปเสียแล้ว








กำลังโหลดความคิดเห็น