ปี 2564 มีหุ้นที่ราคาพุ่งขึ้นเกิน 1,000% อยู่ 4 บริษัท โดยบริษัท พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PSG ติดอยู่ 1 ใน 4 หุ้นร้อนแรงที่สุด และแม้จะย่างเข้าสู่ศักราชใหม่ปี 2565 หุ้นตัวนี้ยังแสดงอิทธิฤทธิ์ จนตลาดหลักทรัพย์ต้องยกระดับมาตรการกำกับการซื้อขายขั้นสูงสุดรวดเดียวภายในรอบสัปดาห์
PSG ติดอยู่ในอันดับ 3 หุ้นที่วิ่งแรงประจำปีที่ผ่านมา จากราคาปิดเพียง 4 สตางค์ เมื่อสิ้นปี 2563 ทะยานขึ้นมาปิดที่ 58 สตางค์ เมื่อสิ้นปี 2564 เพิ่มขึ้น 54 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้น 1,350% ทั้งที่ผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่องหลายปี
จริงๆ แล้ว หุ้น PSG เพิ่มจะเริ่มต้นวิ่งเมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2564 โดยนับจากต้นปีราคาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ แถว 5-6 สตางค์เท่านั้น แต่ก่อนที่คณะกรรมการบริษัทจะจัดประชุมเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม และมีมติเพิ่มทุนจำนวน 54,044 ล้านหุ้น นำหุ้นจัดสรรให้บุคคลในวงจำกัด 5 ราย ราคาในกระดานขยับขึ้นอย่างผิดสังเกต เหมือนมีข้อมูลภายในรั่วไหล
หุ้นเพิ่มทุนจำนวน 54,044 ล้านหุ้น คณะกรรมการมีมติจัดสรรให้นายปณิชา ดาวจำนวนประมาณ 51 ล้านหุ้น ส่วนที่เหลือจัดสรรให้นักลงทุนอีก 4 ราย ในราคาหุ้นละ 2 สตางค์ โดยนางปณิชา เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 80% ของทุนจดทะเบียน และจัดทำคำเสนอซื้อหุ้นจากนักลงทุนทั่วไปในสัดส่วนประมาณ 16.85% เมื่อกลางเดือนธันวาคม โดยไม่มีผู้ใดเสนอขาย
ส่วนนักลงทุน 4 รายที่ได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนพร้อมนางปณิชา และถือหุ้นรวมกันสัดส่วนประมาณ 3.15% ไม่ขายหุ้นที่นางปณิชา เสนอซื้อ
PSG ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจากบริษัท ที เอ็นจิเนียร์ริ่ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ T ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2564 ถูกลากขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง นับจากข่าวการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ และแม้ตลาดหลักทรัพย์จะประกาศใช้มาตรการกำกับการซื้อขายอย่างเข้มข้น แต่ไม่อาจดับร้อนหุ้นตัวนี้ได้
ปี 2564 ผ่านไป ปี 2565 ก้าวเข้ามา หุ้นร้อนส่วนใหญ่เริ่มสงบลง แต่ PSG กลับลากกันไม่เลิก โดยเปิดซื้อขายวันแรกประเดิมปีใหม่เมื่อวันที่ 4 มกราคม ราคาถูกลากขึ้นชนเพดานสูงสุด 30% ปิดที่ 75 สตางค์ เพิ่มขึ้น 17 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้น 29.31% จนตลาดหลักทรัพย์ต้องการประกาศใช้มาตรการกำกับการซื้อขายขั้นที่ 1 ต้องซื้อหุ้นด้วยเงินสด มีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม
แต่ PSG ก็ไม่ยอมสยบ และถูกลากขึ้นต่อไป จนตลาดหลักทรัพย์ต้องยกระดับมาตรการกำกับการซื้อขายเป็นขั้นที่ 2 ซึ่งสกัด PSG ไม่ลงอีก โดยวันที่ 10 มกราคม ราคาพุ่งขึ้นมาปิดที่ 1.18 บาท จนต้องยกระดับมาตรการขั้นที่ 3
ภายในสัปดาห์เดียว ราคาหุ้น PSG พุ่งจาก 58 สตางค์ มาปิดที่ 1.18 สตางค์ เพิ่มขึ้น 60 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 100% และครองแชมป์ความเป็นหุ้นร้อนที่สุดในสัปดาห์แรกของปี ทั้งที่ไม่มีปัจจัยใดสนับสนุน
แม้ราคาหุ้น PSG จะแผ่วลงหลังจากถูกตลาดหลักทรัพย์เพ่งเล็งเป็นกรณีพิเศษ และยกระดับความเข้มข้นของมาตรการกำกับการซื้อขายขั้นสูงสุด โดยเมื่อวันที่ 11 มกราคมปิดที่ 1.15 บาท ลดลง 3 สตางค์ แต่ราคานี้ นางปณิชา ผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ในสัดส่วน 80% ของทุนจดทะเบียนเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุด
เพราะหุ้นจำนวนกว่า 5.1 หมื่นล้านหุ้น ซื้อมาในราคาต้นทุนเพียง 2 สตางค์ กำไรแล้วหุ้นละ 1.13 สตางค์ หรือกำไรแล้วทางบัญชี 5,565%
แม้จะเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ และจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้บริหาร แต่ผลประกอบการ PSG ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยขาดทุนติดต่อหลายปี มียอดขาดทุนสะสม 1,531 ล้านบาท โดยไม่รู้ว่าจะพลิกกลับมากำไรเมื่อไหร่
ราคาหุ้นที่วิ่งเป็นม้าพยศ ย่อมต้องถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีใครอยู่เยื้องหลังลากหุ้น PSG อย่างเย้ยฟ้าท้าดิน และไม่เกรงใจตลาดหลักทรัพย์หรือไม่