กองปราบตามรวบคาบ้านพัก หนุ่มวัย 50 เจ้าของฉายา “พ่อมดคริปโตเคอเรนซี่” รวมหัวกับชาวเวียดนาม หลอกเหยื่อลงทุนเงินสกุลดิจิทัล อ้างผลตอบแทน 400% ภายใน 200 วัน เชิดเงิน 500 ล้านบาทหนี เคยถูกจับปลายปี 62 แต่หลบหนีระหว่างประกันตัว พบหมายจับคดีอื่นติดตัวอีก 14 หมาย
วันนี้ (25 ธ.ค.) ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. สั่งการ พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ต.เดชวุฒิ อุตรศาสตร์ สว.กก.1 บก.ป. นำกำลังจับกุม นายมานะ จูเมือง อายุ 50 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดพิจิตร ที่ 157/2564 วันที่ 23 ธ.ค. 64 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” ได้หน้าบ้านพัก ภายในซอยรามอินทรา 34 แยก 22 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม.
ทั้งนี้ เมื่อระหว่างปี 61-62 นายมานะ ได้ร่วมกับพวกคนไทยและชาวเวียดนาม อ้างตัวเป็นนักค้าเงินสกุลดิจิทัล หรือคริปโตเคอเรนซี่ โดยทำกันเป็นขบวนการมีทั้งคนเปิดบัญชี คนเจรจาหลอกลงทุน และคนคุมเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ซึ่งในส่วนของนายมานะ จะเปรียบเสมือนหัวหน้าขบวนการ และมักอ้างตัวว่าเป็น “พ่อมดคริปโตเคอเรนซี่” (ผู้ที่ชำนาญด้านการค้าเงินสกุลดิจิทัล) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ สามารถชักจูงให้กลุ่มผู้เสียหายร่วมลงทุนในเงินสกุลดิจิทัลต่างๆ ได้ง่าย รวมถึงยังอ้างว่าหากนำเงินมาร่วมลงทุนจะได้รับผลตอบแทนสูง เช่น ลงทุนเงินเพียง 200 วัน จะได้กำไรทันที 400% เป็นต้น
นอกจากนี้ แก๊งของนายมานะ ยังมีพฤติการณ์ชักชวนกลุ่มผู้เสียหายให้ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลสกุลเงินวันคอยน์ โดยอ้างว่า ได้เปิดร้านขายสินค้าบนแพลตฟอร์มการซื้อขายสินค้าขึ้นมา เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้มีการซื้อขายสินค้าโดยใช้เงินดิจิทัลสกุลวันคอยน์โดยเฉพาะ ซึ่งในแพลตฟอร์มดังกล่าวจะมีสินค้าลงประกาศขายด้วยกันหลายรายการ อาทิ บ้านพักอาศัย, รถยนต์, ที่ดิน, ทองคำ, อาหารเสริม, เครื่องสำอาง และเสื้อผ้า การลงทุนเหล่านี้นายมานะยังอ้างว่า ผู้ลงทุนจะได้รับอัตราค่าตอบแทนสูง และมีโปรโมชั่นที่น่าสนใจ เช่น แลกสินค้าต่างๆ, แลกทองคำ, แลกรถเบนซ์ หรือแลกบ้านเดี่ยว เป็นต้น ทำให้ประชาชนจำนวนมากทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ หลงเชื่อ จึงร่วมลงทุนไปรวมเป็นเงินกว่า 500 ล้านบาท ในช่วงแรกมีการจ่ายเงินปันผลจริง แต่ต่อมาเมื่ออเห็นว่าเหยื่อเยอะมากขึ้น จึงเริ่มออกลายไม่จ่ายค่าตอบแทน ก่อนจะตัดขาดการติดต่อหนีไปในที่สุด
ต่อมากลุ่มผู้เสียหายรวมตัวกันเข้าแจ้งความตามท้องที่ต่างๆ จนมีการออกหมายจับ ก่อนที่ตำรวจกองปราบปรามจะสามารถติดตามจับกุมตัวเมื่อปลายปี 2562 อย่างไรก็ตาม หลังถูกจับกุมครั้งดังกล่าว ขณะที่คดีเข้าสู่ชั้นศาลนายมานะ ได้ยื่นขอประกันตัวสู้คดี แต่เมื่อได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว กลับหลบหนีการพิจารณาในชั้นศาล กระทั่งกองปราบปรามตามรวบตัวได้อีกครั้งดังกล่าว
จากการสอบสวน นายมานะ ให้การปฏิเสธ และไม่ขอให้รายละเอียดใดๆ นอกจากนี้ จากการตรวจสอบประวัติพบยังมีหมายจับในคดีลักษณะเดียวกันติดตัวอีก 14 หมายจับ จึงนำตัวส่งศาลจังหวัดพิจิตร ดำเนินคดีต่อไป