xs
xsm
sm
md
lg

RUSI ชี้ NFTs เป็นหนึ่งในเครื่องมือหนุนการฟอกเงิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หน่วยงานป้องกันและรักษาความปลอดภัยของอังกฤษ (Royal United Services Institute (RUSI))
ได้เปิดเผยรายงานที่ระบุสมมุติฐานความเป็นไปได้ของการฟอกเงินในตลาด NFT ซึ่งรายงานระบุเพิ่มเติมว่าการขโมยงานศิลปะก็เป็นความจริงภายในพื้นที่ NFT ด้วยโดย RUSI กำลังพิจารณาช่องทางการฟอกเงินในรูปแบบต่างๆเพื่อตัดสินว่าใครจะสามารถใช้ NFT ในการฟอกเงินได้หรือไม่


จากการเปิดเผยของ cryptopolitan ระบุถึงรายงานของ RUSI ว่าเทคโนโลยี NFT มีความคลุมเครือของวัตถุประสงค์ทำให้เกิดความสงสัยในการฟอกเงินและอาชญากรรมทางการเงิน เพื่อให้เหตุผลถึงมุมมองดังกล่าวนั้น ทีมงานได้ตั้งสมมุติฐานหลายอย่างสำหรับผู้เริ่มต้น โดยแบ่งประเภทที่หลากหลายว่า ผู้คนใช้ cryptocurrencies เพื่อซื้อศิลปะดิจิทัล สำหรับพวกเขาแล้ว cryptos มักถูกใช้ด้วยเหตุผลที่ร้ายกาจ และเหตุผลประการหนึ่งก็คือเพื่อปกปิดแหล่งที่มาของเงินที่ผิดกฎหมาย แม้ว่าจะสามารถติดตามธุรกรรม crypto ได้ แต่โจรบางคนก็ใช้หลายวิธีในการบล็อกการสอบถาม

RUSI แนะนำกฎพื้นฐานสำหรับการพิจารณา

รายงานที่เผยแพร่ในหัวข้อ “NFTs: A New Frontier for Money Laundering?” ยังแนะนำกฎบางอย่าง รู้สึกว่าควรมีระบบที่เปิดเผยตัวตนของลูกค้า นอกจากนี้ควรมีกลไกติดตาม พวกเขาสามารถคัดลอกกฎเกณฑ์จากตลาดศิลปะดั้งเดิม นอกจากนี้ ควรใช้มาตรการแลกเปลี่ยน crypto เมื่อซื้อโทเค็นที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้

อย่างไรก็ดีการฟอกเงินเป็นเรื่องธรรมดาในสภาพแวดล้อมทางศิลปะ นักการเมือง พ่อค้ายาเสพติด พ่อค้าอาวุธสงคราม แก๊งมาเฟีย ยากุซ่า หรือธุรกิจสีเทา นิยมใช้มันเพื่อฟอกเงินมานานหลายทศวรรษ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ นักข่าวสืบสวนสอบสวนจาก New York Times บอกเป็นนัยถึงบางสิ่ง โดยเขากล่าวว่าฝ่ายนิติบัญญัติกำลังวางแผนที่จะตรวจสอบตลาดงานศิลป์ซึ่ง Graham Bowley ได้เขียนว่าความลับเป็นเหมือนเครื่องหมายการค้าในตลาดศิลปะเสมอ

อย่างไรก็ตาม สมาชิกสภานิติบัญญัติบอกเป็นนัยยะว่าพวกเขาต้องพิจารณาเรื่องนี้ เพราะฝ่ายนิติบัญญัติรู้สึกว่าความลับในตลาดทำให้เกิดการละเมิดและผิดกฎหมายหลายประการ

อาชญากรที่แสวงหาโอกาสในตลาด NFT

การวิจัยระบุว่าผู้กระทำผิดอาจเจาะตลาด NFT ด้วยความตั้งใจหลักของพวกเขาคือการใช้ประโยชน์จากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ อาชญากรยังสามารถทำการขโมยงานศิลปะได้ภายในพื้นที่ศิลปะดิจิทัล จนถึงขณะนี้ มีกรณีของแฮ็กเกอร์ที่เข้าถึงบัญชีที่มีสินทรัพย์ดิจิทัล จากนั้นพวกเขาจะขโมยโทเค็นและโอนไปยังบัญชีอื่น เมื่อแฮ็คสำเร็จ คนร้ายสามารถกำจัดทรัพย์สินที่ถูกขโมยได้ สุดท้ายพวกเขาจบลงด้วยการฟอกเงินจากธุรกรรมที่น่าสงสัยดังกล่าว

อย่างไรก็ดีการวิจัยตระหนักถึงมาตรการความปลอดภัยของโทเค็น ระบุว่าโทเค็นมีวิธีพิสูจน์ความเป็นเจ้าของงานศิลปะที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ แพลตฟอร์มดังกล่าวยังสามารถให้การคุ้มครองผลงานของศิลปินได้อีกด้วย ทว่าแฮกเกอร์ยังคงมีเวลาหลายวันในการหลบหนีการแฮ็ก

นอกจากนี้นักวิจัยที่ RUSI ยังได้เปิดเผยมุมมองด้านดีของ NFT ว่าสามารถหยุดการฟอกเงินในรูปแบบของ NFT ได้ซึ่งพวกเขายืนยันว่าแพลตฟอร์มสามารถควบคุมการโจรกรรม NFT ผ่านการแฮ็กได้ นอกจากนี้ยังสามารถลดการปลอมแปลงของสะสมได้อีกด้วย ซึ่งรูปแบบดังกล่าวนั้นอาจไม่ชอบใจนักสำหรับผู้ให้บริการแพล็ตฟอร์มต่างๆ เพราะอาจมีผู้ให้บริการบางส่วนเป็นผุ้ให้การสนับสนุน หรือผู้สมรู้ร่วมคิดในการฟอกเงิน หรือแม้กระทั่งจัดตั้งเป็นแพลตฟอร์มบังหน้าโดยมีจุดประสงค์หลักในอีกด้านที่ให้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการฟอกเงินโดยเฉพาะ

"NFT ควรใช้โซลูชันการพิสูจน์สองปัจจัยเพื่อตรวจสอบย้อนกลับเส้นทางของ NFT นั้น  ซึ่งผู้ประกอบการ NFT เองก็ควรปรับปรุงความปลอดภัยของกระเป๋าเงินด้วย นอกจากนี้ หน่วยงานแนะนำว่าควรมีสำนักทะเบียนที่มี NFTs ที่ถูกขโมย" RUSI แนะนำรูปแบบการกำหนดทะเบียน NFT

ทั้งนี้ ในปี ค.ศ. 1831 ประเทศอังกฤษได้ทำการเปิดตัว Royal United Services Institute (RUSI) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำงานด้านการตรวจสอบด้านอาชญากรรม และเศรษฐกิจหลักๆ เพื่อป้องกันการทุจริต ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานรัฐที่ก่อตั้งมานานที่สุดในโลก โดย RUSI มีทีมงานมีชื่อเสียงในด้านการวิจัยและให้ข้อมูลเชิงลึกในหลายด้าน ซึ่งสิ่งพิมพ์ล่าสุดของพวกเขาเกี่ยวกับทรัพย์สินทางศิลปะดิจิทัลที่ตั้งคำถามถึงศักยภาพในการฟอกเงิน


กำลังโหลดความคิดเห็น