หุ้นไทยปิดตลาดร่วง -1.22 จุด หรือ -0.07% นักวิเคราะห์ชี้แรงกดดันจากหุ้นกลุ่มไมโครไฟแนนซ์ทำนักลงทุนเสียความเชื่อมั่น เหตุผลประกอบการออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ปรับลดราคาเป้าหมายและกำไรปีนี้ลง MTC นำหน้าพร้อมลาก TIDLOR และ SAWAD ติดพ่วงด้วย แนะจับตาอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ คาดว่าน่าจะอยู่ในระดับสูง
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ปรับตัวลดลง -1.22 จุด หรือ -0.07% มูลค่าการซื้อขายสุทธิเพียง 67,908.26 ล้านบาท โดยระหว่างวันดัชนีแกว่งตัวอยู่ในแดนลบเกือบตลอดทั้งวัน ตั้งแต่เปิดตลาดในภาคเช้า จนกระทั่งปรับตัวขึ้นมาในแดนบวกในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะไหลกลับไปอยู่ในแดนลบจนกระทั่งปิดตลาดซึ่งระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,633.43 จุด และปรับตัวลดระดับลดลงต่ำสุดที่ 1,625.13 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจำนวน 671 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 555 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 983 หลักทรัพย์
ขณะที่ปริมาณการซื้อขายขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า 1,913.62 ล้านบาท และ บัญชี บล. ซื้อสุทธิกว่า 1,270.41 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิกว่า -1,576.34 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -1,607.69 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
1.KCE มูลค่าการซื้อขาย 2,967.52 ล้านบาท ปิดที่ 90.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.75 บาท
2.MTC มูลค่าการซื้อขาย 1,833.37 ล้านบาท ปิดที่ 61.00 บาท ลดลง 2.25 บาท
3.DELTA มูลค่าการซื้อขาย 1,612.94 ล้านบาท ปิดที่ 387.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท
4.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,604.06 ล้านบาท ปิดที่ 148.00 บาท ลดลง 0.50 บาท
5.PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,560.13 ล้านบาท ปิดที่ 38.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.AP 9.30 บาท +0.40 บาท หรือ +4.49%
2.ORI 11.80 บาท +0.50 บาท หรือ +4.42%
3.KCE 90.50 บาท +3.75 บาท หรือ +4.32%
4.RS 18.00 บาท +0.50 บาท หรือ +2.86%
5.SPALI 23.30 บาท +0.60 บาท หรือ +2.64%
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.MTC 61.00 บาท -2.25 บาท หรือ -3.56%
2.KTC 57.25 บาท -1.75 บาท หรือ -2.97%
3.SINGER 42.50 บาท -1.25 บาท หรือ -2.86%
4.BANPU 10.80 บาท -0.30 บาท หรือ -2.70%
5.IRPC 4.12 บาท -0.10 บาท หรือ -2.37%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,231.98 จุด ลดลง -1.85 จุด หรือ -0.08% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 979.27 จุด ลดลง -1.26 จุด หรือ -0.13% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 554.93 จุด เพิ่มขึ้น 6.14 จุด หรือ 1.12%
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้อ่อนตัวลง แต่ SET INDEX ก็ยังยืนเหนือระดับ 1,626 จุดได้เป็นวันที่ 4 โดยตลาดหุ้นยังรับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มไมโครไฟแนนซ์ นำโดย MTC หลังงบผลประกอบการออกมาต่ำกว่าตลาดคาดไว้ ทำให้ถูกปรับลดราคาเป้าหมายและกำไรปีนี้ลง ทำให้หุ้น TIDLOR และ SAWAD โดนลากไปด้วยเพราะอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ทำให้ราคาลงตามไปด้วย โดยมองว่าจะได้รัลผลกระทบจากส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิแคบกว่าที่ประเมิน สะท้อนการแข่งขันรุนแรง และอาจส่งผลไปถึงไตรมาส 4/64 ด้วย
ขณะที่มุมมองหุ้น DELTA วันนี้ฟื้นตัวขึ้นได้บ้างหลังเจอแรงขายจากความกังวลว่าจะถูกถอดออกจาก SET50 และ SET100 ตามเกณฑ์ใหม่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และหุ้น GULF ก็ได้รับแรงกดดันไปด้วยหากใช้เกณฑ์ใหม่ใช้ในการคัดหุ้นเข้า SET50 และ SET100 ซึ่งมองว่าหุ้น GULF ก็มีโอกาสที่จะหลุดด้วย นอกจากนี้ควรติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายบริษัทที่จะทยอยประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ และจับตาอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่จะประกาศในวันนี้ คาดว่าน่าจะอยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยยังถือว่ามีราคาถูกเมื่อเทียบกับตลาดอื่น ทำให้น่าจะเริ่มกลับมาได้หลังจากยอดฉีดวัคซีนต้านโควิดสูงขึ้นมาก และยังจะมีการจัดซื้อยารักษาโควิดเพิ่มเข้ามาอีก สร้างความมั่นใจให้กับการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเศรษฐกิจไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก อีกทั้งเชื่อว่าภาครัฐจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีก
ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และตลาดยุโรปเทรดบ่ายนี้ ต่างก็เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบสลับกัน หลังจากสะท้อนงบฯของบริษัทในแต่ละตลาดกันไปแล้ว และอยู่ในช่วงรอปัจจัยกระตุ้นใหม่เข้ามาด้วย
ขณะที่แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ มองว่าตลาดหุ้นจะยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยประเมินแนวรับที่ 1,626 จุด และแนวต้านที่ 1,635-1,640 จุด