ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทยรอประเมินผลเปิดประเทศชัดเจนก่อนทบทวนประมาณการเศรษฐกิจ คาดปีหน้าเห็นภาพชัดเจนขึ้น ขณะที่การพัฒนาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงตอนใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) เป็นอีกหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งสำคัญ สนับสนุนให้ภาคเอกชนลงทุนตาม โดยเฉพาะธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่คอนโดมิเนียม และทาวน์เฮาส์ ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อยูนิต และ 3-5 ล้านบาทต่อยูนิต คาดกระตุ้นมูลค่าตลาดที่อยู่อาศัยเตาปูน-ราษฎร์บูรณะไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท
นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ขณะนี้ศูนย์วิจัยกรุงไทยยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ไว้ในระดับเดิมที่ 0.5% แม้ว่าทางภาครัฐจะประกาศเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ โดยการเปิดเมืองดังกล่าวเป็นไปตามการคาดการณ์ของศูนย์วิจัยฯ อยู่แล้ว รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้ที่ 2-3 แสนคน เนื่องจากในการเปิดประเทศในช่วง 2-3 เดือนแรกยังคงมีอีกหลายสิ่งที่ต้องเตรียมการทั้งประเทศต้นทางและปลายทาง จึงทำให้นักท่องเที่ยวอาจจะเดินทางเข้ามาได้ไม่มากนัก แต่น่าจะส่งผลดีอย่างชัดเจนขึ้นในปีหน้าที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้ประมาณ 5 ล้านคน และยังประมาณการจีดีพีเติบโตในปีหน้าที่ 3.9% เพื่อรอดูสถานการณ์หลังจากเปิดประเทศก่อน
"ในช่วงแรกของการเปิดรับนักท่องเที่ยวคงจะไม่ได้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างรวดเร็วหรือจำนวนมาก เพราะจะต้องมีความวุ่นวาย ขลุกขลิกอยู่บ้าง ทั้งเรื่องเอกสารหรือแนวทางปฏิบัติต่างๆ มีอีกหลายเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องต้องเตรียมการอีกมาก จึงต้องใช้เวลาอีกระยะกว่าลงตัว ซึ่งก็คงเป็นปีหน้า ซึ่งเราจะมีการทบทวนประมาณการต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไป"
*มองรถไฟฟ้าสายสีม่วงตอนใต้ กระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้าน*
อย่างไรก็ตาม ภาคการท่องเที่ยวไม่ใช่เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่จะช่วยกระตุ้นหรือขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ยังมีภาคธุรกิจอื่นที่เข้ามาช่วยเสริมได้ เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยล่าสุด ศูนย์วิจัยกรุงไทยได้ออกบทวิจัยเรื่อง "ประเมินการพัฒนารถไฟฟ้าสายสีม่วงตอนใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ)" ซึ่งมีเม็ดเงินลงทุนกว่า 1.1 แสนล้านบาทของภาครัฐนั้น นอกจากจะเป็นการขยายโครงข่ายเส้นทางรถไฟฟ้าบริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาก่อสร้างราว 5 ปี ส่งผลบวกต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรง เช่น ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจจำหน่ายและติดตั้งงานระบบรถไฟฟ้า และยังก่อให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนตามมา (Crowding-in effect) โดยเฉพาะในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย
“การก่อสร้างรถไฟฟ้าในอดีตทั้งสายสีเขียวตอนเหนือ (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) สายสีชมพู (มีนบุรี-แคราย) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ที่ภาครัฐใช้เม็ดเงินลงทุนเองกว่า 115,000 ล้านบาท ได้ส่งผลให้ภาคเอกชนลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยในบริเวณโดยรอบเพิ่มขึ้นไปแล้วกว่า 81,500 ล้านบาท คิดเป็น Multiplier Effects อย่างน้อย 0.7 เท่า ส่วนในอนาคต เมื่อการแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย คาดว่าการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงตอนใต้จะทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยในเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ มีมูลค่าการพัฒนาเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท เช่นเดียวกับที่ผ่านมา”
นายสุปรีย์ ศรีสำราญ กล่าวว่า รถไฟฟ้าสายสีม่วงตอนใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) มี 3 จุดเด่นที่น่าสนใจได้แก่ 1) การมีเส้นทางที่พาดผ่านทั้งสถานที่ทำงานของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และโซนที่อยู่อาศัย ตลอดจนสามารถเชื่อมต่อไปย่านธุรกิจ และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ จะช่วยส่งเสริมให้การเดินทางของคนในพื้นที่มากขึ้น 2) การมีสถานีที่เป็นจุดตัดกับโครงข่ายรถไฟฟ้าอื่นๆ อีกหลายเส้นทาง เช่น จุดตัดกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่สถานีวงเวียนใหญ่ ที่จะช่วยให้คนในพื้นที่ย่านคลองสาน ประชาอุทิศ-พุทธบูชา เดินทางเข้าสู่ย่านธุรกิจ เช่น สาทร สีลม สุขุมวิท ได้สะดวกขึ้น ทำให้เหมาะสำหรับการต่อยอดสู่ Hub ในการเดินทางและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้หลายรูปแบบ และ 3) การมีอาคารจอดแล้วจรที่สามารถรองรับจำนวนรถยนต์ได้มากถึงราว 7,900 คัน ซึ่งมากกว่าเส้นทางรถไฟฟ้าสายอื่นๆ รวมถึงสถานที่ตั้งของอาคารจอดแล้วจรที่กระจายอยู่ทั้งตอนเหนือและใต้ของเส้นทาง
“การมีเส้นทางรถไฟฟ้าที่พาดผ่านสถานที่สำคัญ อีกทั้งยังมีจุดตัด (Interchange) ที่สามารถเชื่อมต่อการเดินทางกับโครงข่ายรถไฟฟ้าในเส้นทางอื่นๆ รวมถึงการมีอาคารจอดแล้วจรที่มีความจุ และมีสถานที่ตั้งที่เหมาะสม จะช่วยสนับสนุนให้จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าในภาพรวมให้สูงขึ้น และส่งผลบวกต่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณรอบๆ อีกด้วย”
นายกณิศ อ่ำสกุล กล่าวเสริมว่า การมาถึงของรถไฟฟ้าสายสีม่วงตอนใต้จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญให้ยอดขายที่อยู่อาศัยในพื้นที่เตาปูน-ราษฎร์บูรณะมีแนวโน้มสูงขึ้น 25% จากปีละ 7,700 ยูนิต ในช่วงปี 2018-2020 มาอยู่ที่ 9,600 ยูนิต เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง โดยการพัฒนาคอนโดมิเนียมในทำเลบางซื่อ และคลองสาน รวมถึงทาวน์เฮาส์ในทำเลประชาอุทิศ-พุทธบูชาที่ระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อยูนิต และ 3-5 ล้านบาทต่อยูนิต มีโอกาสที่จะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะนอกจากจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในพื้นที่มากที่สุดแล้ว ราคาที่ดิน ณ ปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปพัฒนาโครงการ โดยที่ยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 30-40% ได้ตามปกติ นอกจากนี้ หากพิจารณาในระยะถัดไป คาดว่าธุรกิจร้านสะดวกซื้อในพื้นที่ก็มีโอกาสเพิ่มจำนวนสาขาขึ้นอีก 2-3 เท่า จากปัจจุบันที่ 4-5 สาขาต่อประชากร 10,000 คน เพื่อรองรับการอยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน