ธปท.และสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ นำเสนอบทความงาน BOT Symposium 2021 เรื่อง “โครงสร้างเศรษฐกิจสังคมไทย : ความเปราะบางท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง” พบ 5 ความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย และอีก 1 ความเปราะบางทางสังคม ระบุโควิด-19 เป็นตัวกระตุ้นให้ภาะความเหลื่อมล้ำชัดเจน ก่อเกิดความเชื่อใจต่ำ ทำให้เกิด cost ส่งผลต่อการค้าการลงทุนที่จะพัฒนาประเทศและเศรษฐกิจให้เติบโต แก้ไขโดย "คิดต่างอย่างมีภูมิ" เปิดใจ รับฟัง พูดคุย ร่วมมือ
ธปท.นำบทความวิจัยจากงาน BOT Symposium 2021โดยนายสุพริศร์ สุวรรณิก และ น.ส.ธนิสา ทวิชศรี นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เรื่อง “โครงสร้างเศรษฐกิจสังคมไทย : ความเปราะบางท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง” ได้ทำการสำรวจออนไลน์ในโครงการ “คิดต่าง อย่างมีภูมิ” ตั้งแต่เดือนสิงหาคม-กันยายน 2564 จากกลุ่มตัวอย่างกว่า 2,000 ราย ดังนี้
ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในบริบทโลกใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม งานวิจัยนี้ฉายภาพ 5 ความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย และอีก 1 ความเปราะบางทางสังคมที่ประเทศไทยต้องเผชิญจากความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นเหล่านี้
ประการแรก เศรษฐกิจไทยเปราะบางต่อความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะการพึ่งพาต่างประเทศในระดับสูง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ความเปราะบางจากการพึ่งพิงจีนและสหรัฐอเมริกาในหลายด้าน เช่น การส่งออกไปยังสองประเทศที่มีมูลค่ารวมกันเกือบ 1 ใน 3 ของการส่งออกทั้งหมด การท่องเที่ยวที่พึ่งพิงนักท่องเที่ยวจีนสูงถึง 28% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
ประการที่สอง หากปรับตัวไม่ทัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่อาจทำให้ไทยตกขบวนรถไฟได้ โดยคณะผู้วิจัยยกตัวอย่างความเปราะบางของโครงสร้างการส่งออกไทย ที่พบว่ามีมูลค่าเพิ่มที่ไทยสร้างได้อยู่ในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นกลางและขั้นสูง ชี้ให้เห็นว่าการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างชาติมายังธุรกิจไทยยังมีไม่สูงนัก
ประการที่สาม ภาวะโลกร้อนจะส่งผลใหญ่หลวงต่อไทยหากไม่เร่งปรับตัวตั้งแต่วันนี้ โดยคณะผู้วิจัยยกตัวอย่างที่อาจยังไม่เคยกล่าวถึงกันมากนัก คือ ความเปราะบางของภาคอุตสาหกรรมไทยที่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น โดยมากกว่า 1 ใน 3 ของแรงงานนอกภาคเกษตรทั้งประเทศ มากกว่า 20% ของจำนวนสถานประกอบการ และมากกว่า 10% ของธุรกิจในอุตสาหกรรมส่งออกหลักอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
ประการที่สี่ การเข้าสู่สังคมสูงอายุส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยหลายด้าน โดยหากมองความเปราะบางของโครงสร้างแรงงานไทย พบว่า มีสัดส่วนแรงงานสูงวัย (มากกว่า 50 ปี) เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าในช่วงไม่ถึง 20 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มจาก 3.4% ในปี 2545 มาสูงถึง 9.9% ในปี 2562
ประการที่ห้า วิกฤตโควิด-19 ได้สร้างหลายแผลเป็นต่อเศรษฐกิจไทย ตัวอย่างสำคัญคือ ความเปราะบางทางการเงินของครัวเรือนไทยที่เพิ่มขึ้น โดยพบว่าครัวเรือนไทยเริ่มผิดนัดชำระหนี้ และมีหนี้เสียเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้กู้อายุน้อย ซึ่งมีหนี้เร็วและมีสัดส่วนผู้กู้ที่มีหนี้เสียมากอยู่แล้วก่อนเกิดวิกฤต
สำหรับประเด็นด้านสังคม งานวิจัยนี้ได้ฉายภาพความเปราะบางของสังคมไทยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และอาจเป็นอุปสรรคสำคัญในการที่หลายภาคส่วนจะร่วมมือกันดำเนินนโยบายเพื่อแก้ไขความเปราะบางทางเศรษฐกิจได้อย่างลุล่วง
โดยคณะผู้วิจัยได้ทำการสำรวจออนไลน์ในโครงการ “คิดต่าง อย่างมีภูมิ” ตั้งแต่เดือนสิงหาคม-กันยายน 2564 จากกลุ่มตัวอย่างกว่า 2,000 รายที่สามารถสะท้อนความหลากหลายทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยได้ และพบว่า ความสมานฉันท์ในสังคมไทยอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับคุณภาพสังคมด้านอื่นๆ โดยเฉพาะในมิติของความเชื่อมั่นในองค์กรที่อยู่ในระดับต่ำในกลุ่มคนรุ่นใหม่ หากวัดจากทัศนคติและค่านิยม ผู้วิจัยพบว่า คนรุ่นใหม่มีค่านิยมค่อนไปทางเสรีนิยมมากกว่าคนรุ่นเก่าอย่างมีนัยสำคัญ และความ “คิดต่าง” ของคนในสังคมอาจนำไปสู่ความแตกแยกทางสังคมได้ เพราะกลุ่มที่คิดต่างมักมีความรู้สึกไม่ดีต่อคนต่างความคิด และมองความต่างระหว่างสองกลุ่มมากเกินกว่าความเป็นจริง
นอกจากนั้น คณะผู้วิจัยพบว่า ความต่างวัย และพฤติกรรมการบริโภคสื่อด้านเดียวมีความสัมพันธ์ต่อความแตกแยกทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกัน ความมั่นคงในชีวิต การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนที่คิดต่าง อาจช่วยลดความแตกแยกได้ และที่น่าสนใจ คือ คนที่คิดต่างอาจไม่ได้ต่างอย่างที่คิด โดยแท้จริงแล้วคนสองกลุ่มมีความเห็นตรงกันในเชิงนโยบายหลายประการ เช่น รัฐควรจัดเก็บภาษีให้มากขึ้นเพื่อพัฒนาบริการขั้นพื้นฐานให้มีคุณภาพสูง คะแนนเสียงของทุกคนควรมีค่าเท่ากันในการเลือกตั้ง เป็นต้น
ผลการศึกษานี้สะท้อนความเปราะบางของสังคมไทย ซึ่งหากไม่แก้ไขก็อาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาความเปราะบางทางเศรษฐกิจ นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำที่สูงขึ้น ดังนั้น การปลดล็อกความเปราะบางทางสังคมถือเป็นกุญแจสำคัญ และสามารถเริ่มแก้ไขได้ด้วยการ “คิดต่าง อย่างมีภูมิ” โดยเปิดใจ ที่จะมองเห็นเข้าใจมุมมองคนคิดต่าง รับฟัง คนรอบข้าง คนคิดต่าง รับข้อมูลหลากหลาย พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และร่วมมือ แก้ไขปัญหาด้วยกันระหว่างหลายภาคส่วน เพื่อสร้าง “ความสมานฉันท์ในสังคมไทย” ซึ่งจะนำมาสู่การแก้ไขปัญหาความเปราะบางของประเทศอย่างตรงจุด ทันเวลา และนำมาสู่สังคมไทยที่มีการพัฒนาที่ทั่วถึงและยั่งยืน