บล.โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนตลาด พร้อมจับตาตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศ โควิด-19 น้ำท่วม การเปิดประเทศในเดือน พ.ย. โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวดัชนี 1,610-1,660 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นธีมเปิดเมืองและหุ้นโรงกลั่น รับอานิสงส์ค่าการกลั่นพุ่งทำนิวไฮรอบ 2 ปี
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ แกว่งตัว Sideway ออกข้าง โดยยังขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนตลาด นักลงทุนยังติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดอย่างใกล้ชิด ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,610-1,660 จุด
อีกทั้งทางโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดคาดการณ์ GDP ของสหรัฐฯ ในปี 2564 ลงสู่ระดับ 5.6% จาก 5.7% และปรับลด GDP ในปี 2565 ลงสู่ระดับ 4% จาก 4.4% เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าคาด และคาดว่ามาตรการสนับสนุนด้านการคลังของสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงจนถึงสิ้นปี 2565 และการที่สหรัฐฯ ได้มีการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือน ก.ย. โดยเพิ่มขึ้นเพียง 194,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าคาดที่ 500,000 ตำแหน่ง แต่นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มปรับลด QE ภายในปีนี้
ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศโดยยังคงมีคลัสเตอร์ใหม่เพิ่มขึ้นในต่างจังหวัด ขณะที่นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ชี้ไทยเสี่ยงเผชิญ Stagflation ชั่วคราว โดยคาดว่าไตรมาส 1/2565 ราคาน้ำมันไปแตะที่ระดับ 100 ดอลล์ ประกอบกับสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศซึ่งมีพื้นที่เฝ้าระวังน้ำมาก เสี่ยงดินถล่ม น้ำล้นในช่วง 11-16 ต.ค.ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยามีคำเตือนพายุดีเปรสชันไลออนร็อกที่อ่อนกำลังลงจะทำให้ภาคอีสานมีฝนตกหนักถึงหนักมาก และล่าสุด การแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีเรื่องการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศในเดือน พ.ย. โดยไม่มีการกักตัว รวมทั้งการผ่อนคลายสถานบันเทิงเปิดให้บริการตั้งแต่ 1 ธ.ค.
นอกจากนี้ ยังคงต้องจับตาปัจจัยต่างๆ เช่น 14 ต.ค.นี้ การประชุม ศบค.ชุดใหญ่ประเมินสถานการณ์โควิด-19 ลุ้นคลายล็อกระดับจังหวัด ส.อ.ท.แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตฯ ธปท.เผยแพร่รายงานการประชุม กนง. และเผยแพร่รายงานนโยบายการเงิน ส.อ.ท. แถลงยอดการผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการส่งออก-นำเข้า และการรายงานตัวเลขผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนนำโดยกลุ่มธนาคารงวดไตรมาส 3/2564 ขณะที่สถานการณ์ต่างประเทศยังคงน่าเป็นห่วง เช่น อียูรายงานความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเดือน ต.ค. สหรัฐร ายงานตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือน ส.ค. จีนรายงานยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือน ก.ย. ยอดขายรถเดือน ก.ย. อียูรายงานการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ส.ค. สหรัฐฯ รายงานอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ย. คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 21-22 ก.ย. ประมาณเช้าวันที่ 14 ต.ค. จีนรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือน ก.ย. และสหรัฐฯ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน ก.ย. สต๊อกน้ำมันรายสัปดาห์
ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าการกลั่น ส่งผลเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น TOP, SPRC, ESSO และ PTTGC ซึ่งจะส่งผลให้ตัวเลขผลการดำเนินงานเติบโตไปด้วย ส่วนหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเตรียมเปิดประเทศในเดือนหน้า ได้แก่ MINT, ERW, CENTEL, AWC, SHR, ASAP, AOT, AAV และ BA
ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินกรอบทองคำว่า ราคาทองคำโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่เปลี่ยนแปลง ราคาทองคำล่าสุดอยู่ที่ 1,756 $/Oz โดยได้รับแรงหนุนจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงหลังนักลงทุนหันกลับมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะในตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 1.526% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือนเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำเนื่องจากตลาดกลับมากังวลเกี่ยวกับการปรับลด QE ของเฟดและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดถึง 1 ปี
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยประเมินกรอบทองคำในสัปดาห์นี้ที่ 1,740-1,790 $/Oz โดยแนะนำให้หาจังหวะ Short เมื่อทองคำปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้าน เนื่องจากเฟดเตรียมปรับลดวงเงิน QE ลงภายในปลายปีนี้ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำในระยะกลาง โดยในปี 2013 ที่มีการปรับลดวงเงิน QE ราคาทองคำจะปรับตัวลงและแตะจุดต่ำสุด ณ เดือนที่เฟดมีการปรับลดวงเงิน QE