เจพีมอร์แกนชี้นักลงทุนประเภทสถาบันเริ่มทิ้งทองคำและกลับไปหาบิตคอยน์อีกรอบเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ นอกจากนั้นยังได้แรงหนุนจากการที่ทั้งประธานผู้ว่าการเฟดและประธานเอสอีซียืนยันว่า ไม่คิดแบนคริปโตเคอร์เรนซีแบบจีน
ปลายสัปดาห์ที่แล้ว เจพีมอร์แกน วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ในวอลล์สตรีท ออกรายงานการวิจัยฉบับย่อระบุว่า นักลงทุนประเภทสถาบันกำลังหวนกลับไปเล่นบิตคอยน์ (บีทีซี) อีกรอบเหมือนกับช่วงไตรมาส 4 ปีที่แล้วและต้นปีนี้ โดยอ้างอิงกระแสที่เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากทองคำไปยังบีทีซี เนื่องจากมองว่า บิตคอยน์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ดีกว่าทองคำ
นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนอธิบายว่า มีสามปัจจัยสำคัญที่ดันราคาบิตคอยน์จากประมาณ 40,000 ดอลลาร์ ไปอยู่ที่ราว 55,000 ดอลลาร์ในเวลาอันรวดเร็ว โดยขณะที่เผยแพร่รายงานฉบับนี้เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว บิตคอยน์เคลื่อนไหวอยู่ที่ราว 53,800 ดอลลาร์
ปัจจัยแรกคือการที่บรรดาผู้วางนโยบายของอเมริกาออกมารับประกันเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ไม่มีเจตนาแบนการใช้หรือการขุดเหรียญคริปโตตามรอยจีน
สัปดาห์ที่แล้ว ทั้งเจอโรม พาวเวลล์ ประธานผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และแกรี่ เกนส์เลอร์ ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (เอสอีซี) แถลงต่อรัฐสภาว่า ไม่มีแผนแบนคริปโตแบบจีน โดยเกนส์เลอร์แจงว่า เอสอีซีจะโฟกัสที่การปกป้องนักลงทุนและการออกกฎระเบียบควบคุมแทน
ปัจจัยที่สองคือ การเติบโตของไลต์นิ่ง เน็ตเวิร์ก ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาความล่าช้าในระบบบล็อกเชนของบิตคอยน์ รวมทั้งโซลูชันการชำระเงินเลเยอร์ 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกรรม ซึ่งได้แรงหนุนจากการที่เอลซัลวาดอร์ประกาศให้บิตคอยน์เป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา
เอลซัลวาดอร์ยังซื้อคริปโตสกุลนี้ 700 บีทีซี และประธานาธิบดีนายิบ บูเคเล อวดอ้างว่า ขณะนี้มีประชาชนกว่า 3 ล้านคนใช้วอลเล็ตบิตคอยน์ของรัฐบาลที่ชื่อว่า ชิโว (Chivo)
เหตุผลข้อที่สามคือการที่นักลงทุนกลับมากังวลกับภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้ความสนใจในการใช้บิตคอยน์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อฟื้นคืนชีพอีกหน
เจพีมอร์แกนอธิบายเพิ่มเติมว่า กระแสที่เงินทุนไหลออกจากตลาดทองคำไปหาบิตคอยน์กลับมาอีกครั้งในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ จากเดือนพฤษภาคมที่บริษัทพบแนวโน้มตรงกันข้าม กล่าวคือกองทุนต่างๆ ทิ้งบิตคอยน์ไปลงทุนกับทองคำ
จากข้อมูลของเจพีมอร์แกน เม็ดเงินกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ไหลออกจากกองทุนอีทีเอฟ (exchange-traded fund) ที่มุ่งสร้างผลตอบแทนที่อ้างอิงดัชนีราคาทองคำนับจากต้นปีนี้ และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เม็ดเงินกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ไหลเข้าสู่กองทุนที่ลงทุนในบิตคอยน์
ทั้งนี้ ราคาบิตคอยน์ทะยานขึ้น 85% ในปีนี้ ขณะที่ราคาอีเธอเรียม คริปโตที่มีมูลค่าสูงสุดอันดับ 2 รองจากบีทีซี พุ่งขึ้น 393% ส่วนราคาทองคำตอนนี้อยู่แถวๆ ออนซ์ละไม่ถึง 1,800 ดอลลาร์ ลดลง 6.5% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงล่าสุด
รายงานชิ้นนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่า เงินทุนที่ไหลเข้ากองทุนที่ลงทุนในบิตคอยน์ช่วยให้สัดส่วนบีทีซีในตลาดคริปโตเพิ่มเป็นเกือบ 45% จาก 41% ในช่วงกลางเดือนกันยายน