ตลาดหุ้นปีนี้กำลังย้อนยุคสู่ช่วงระหว่างปี 2530-2535 หรือยุคที่ “เสี่ยสอง” หรือนายสอง วัชรศรีโรจน์ นักลงทุนรายใหญ่ชื่อดังกระฉ่อน เพราะมีการปั่นหุ้นกันอย่างโจ๋งครึ่ม เย้ยหยันตลาดหลักทรัพย์และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ยุคเสี่ยสอง มีการปั่นหุ้นนับสิบตัว โดยมาตรการในการสกัดหุ้นปั่นขณะนั้นคือ การขึ้นเครื่องหมาย “NP” เพื่อเตือนนักลงทุน และมาตรการ” SP” พักการซื้อขายหุ้น
ปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ใช้มาตรการกำกับการซื้อขายเพื่อดับร้อนหุ้น โดยกำหนดให้ซื้อหุ้นด้วยเงินสด ถ้าไม่ได้ผลจะยกระดับมาตรการให้เข้มข้นขึ้น โดยห้ามคำนวณวงเงินซื้อขายและห้ามหักกลบชำระค่าซื้อขายหุ้นในวันเดียวกัน หรือห้ามเนตเซตเทิลเมนต์
แต่หุ้นที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายการสร้างราคาดื้อยา โดยยังมีการลากราคาขึ้นสวนมาตรการกำกับ ทำให้ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ต้องกุมขมับ และกำลังหามาตรการใหม่เพื่อสยบหุ้นปั่น
เพราะถ้าปล่อยให้ปั่นหุ้นกันอย่างโจ๋งครึ่มต่อไป ปล่อยให้หุ้น 10 ตัว 1 บาทอาละวาดโดยควบคุมไม่ได้ ตลาดหุ้นจะแปลงสภาพเป็นบ่อนการพนันเช่นเดียวกับยุคเสี่ยสอง
การปั่นหุ้นน่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว นับจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2535 เพราะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับแก๊งปั่นหุ้น
ยุคของเสี่ยสอง ต้องสิ้นสุดลงหลังมี ก.ล.ต. หุ้นปั่นต้องสยบ เพราะการใช้มาตรการดับหุ้นร้อนที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่กระบวนการกล่าวโทษใช้เวลาที่รวดเร็วมาก
มาตรการดับร้อนหุ้นปั่นในช่วงนั้น นอกเหนือจากการแขวนป้าย NP และ SP แล้ว หากแก๊งปั่นหุ้นยังหัวดื้อ เจ้ามือหุ้นยังไม่ยอมสยบ และลากราคาหุ้นต่อ ตลาดหลักทรัพย์จะออกมาให้ข่าวว่า กำลังเข้าตรวจสอบหุ้นที่มีพฤติกรรมปั่น และสั่งให้โบรกเกอร์ส่งข้อมูลคำสั่งซื้อขายหุ้นที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบมาให้
นอกจากนั้น หุ้นตัวใดที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายสร้างราคา ตลาดหลักทรัพย์ประกาศจะส่งข้อมูลให้ ก.ล.ต. ดำเนินการสอบสวนต่อ เพื่อรวบรวมหลักฐานกล่าวโทษ
เพียงแค่ออกข่าวว่าจะเข้าตรวจสอบ และสั่งให้โบรกเกอร์ส่งข้อมูลคำสั่งซื้อขายของลูกค้ามาให้ตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น นักลงทุนรายย่อยแห่เทขายหุ้นทิ้ง จนเจ้ามือหรือนักลงทุนขาใหญ่ลากหุ้นต่อไม่ไหว เกมปั่นหุ้นต้องปิดฉากลง โดยเจ้ามือหรือขาใหญ่ยังขายหุ้นออกไม่ทัน และต้อง “ติดหุ้น” เสียเอง
ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบันจึงไม่นำมาตรการที่เข้มข้นในอดีตมาใช้ เพื่อสยบหุ้นตัวเล็กตัวร้ายนับ 100 ตัวที่กำลังปั่นกันอย่างสนุกสนาน
เช่นเดียวกับกระบวนการกล่าวโทษการปั่นหุ้น ซึ่งไม่เข้าใจว่า ทำไมจึงใช้เวลายาวนาน โดยการลงโทษการปั่นหุ้นกรณีล่าสุด บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NBC ซึ่งปั่นหุ้นกันตั้งแต่กลางปี 2559
แต่ ก.ล.ต.เพิ่งกล่าวโทษเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยใช้เวลารวบรวมหลักฐานถึง 5 ปีเต็ม
ก.ล.ต.ยุคแรก ช่วง นายเอกกมล คีรีวัฒน์ เป็นเลขาธิการคนแรก ใช้เวลาไม่ถึง 1 ปี สามารถรวบรวมหลักฐานและกล่าวโทษหุ้นปั่นได้ และกล่าวโทษหุ้นปั่นพร้อมกันถึง 4 ตัว
หุ้นธนาคารนครหลวง หุ้นบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด หรือ KMC หุ้นบริษัทเงินทุน เฟิร์สซิตี้ อินเวสเมนท์ จำกัด หรือ FCI ฉายาหุ้นฟ้าใส หุ้นบริษัท รัตนะการเคหะ จำกัด หรือ RR ถูกกล่าวโทษพร้อมกันในวันที่ 26 เมษายน 2536 โดยหุ้นทั้ง 4 ตัวมีการปั่นกันในช่วงกลางปี 2535 ถึงต้นปี 2536
ตลาดหลักทรัพย์ และ ก.ล.ต.ยุคนายเอกกมล ใช้เวลาไม่ถึง 1 ปี สามารถกล่าวโทษได้ แม้ในจำนวนผู้ถูกล่าวโทษ 30 ราย ซึ่งมีกลุ่มคุณหญิงพัชรี ว่องไพฑูรย์ หรือรัตตกุล และนายวิชัย กฤษดาธานนท์ ร่วมอยู่ด้วย จะมีเพียงเสี่ยสอง คนเดียวที่ถูกตัดสินจำคุกก็ตาม
เพียงแต่เสี่ยสอง หลบหนีเข้าๆ ออกๆ ระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน โดยไม่ถูกจับกุมจนคดีหมดอายุความ และวันนี้ยังวนเวียนอยู่ในตลาดหุ้น
มาตรฐานการตรวจสอบ รวบรวมหลักฐาน และการกล่าวโทษหุ้นปั่นถือว่าตกต่ำลงมาก เพราะเฉลี่ยแต่ละคดีใช้เวลา 3-5 ปี ซึ่งสาธารณชนไม่เข้าใจว่าทั้งตลาดหลักทรัพย์ และ ก.ล.ต.ทำอะไรกันอยู่
ทำไมจึงงุ่มง่าม ทำให้การดำเนินคดีล่าช้าจนกฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์ มิจฉาชีพในตลาดหุ้นไม่เกรงกลัว โดยเจ้ามือหุ้นบริษัทจดทะเบียนนับ 100 แห่งปั่นหุ้นเยาะเย้ย ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์
การตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายหุ้น ตลาดหลักทรัพย์ไม่ควรใช้เวลาเกิน 1 เดือน ก่อนส่งเรื่องให้ ก.ล.ต.สอบสวนข้อมูลในเชิงลึกต่อ
ส่วน ก.ล.ต. ก็ไม่ควรใช้เวลาเกิน 6 เดือน ในการสอบสวนข้อมูล รวบรวมหลักฐาน ก่อนจะกล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ
ไม่รู้ว่ากระบวนการล่าสุดช้าในจุดใด และหน่วยงานไหน จึงทำให้การกล่าวโทษคดีหุ้นปั่นจึงล่าช้าจนคนลืม
ไม่รู้ว่าทำไมมาตรฐานในการสยบหุ้นปั่นจึงต่ำลง ทั้งที่ในอดีตมีมาตรการที่มีประสิทธิภาพสยบหุ้นปั่นจนอยู่หมัด
ผู้บริหาร ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์จะต้องทบทวนแล้วว่า ทำไมแก๊งปั่นหุ้นจึงเหิมเกริม
และทำไม่จึงสยบเจ้ามือที่ปั่นหุ้นเย้ยหยันกฎหมายไม่ได้เสียที
(วันพรุ่งนี้ อ่านศักดิ์ศรี และสำนึกของกรรมการบริษัทจดทะเบียนที่ปั่นหุ้น)