หุ้นตัวเล็กตัวร้ายกำลังอาละวาดหนัก ถูกจุดพลุไล่ราคากันมาเป็นแผง และแม้ตลาดหลักทรัพย์จะใช้มาตรการกำกับการซื้อขาย แต่ไม่อาจดับความร้อนแรงได้ แถมราคายังพุ่งขึ้นสวนขึ้นมาเสียอีก
หุ้นบริษัท ที เอ็นจีเนียร์ริ่ง คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ T บริษัทจดทะเบียนในตลาด MAI เป็นหนึ่งในหุ้นตัวเล็กตัวร้ายที่ถูกจับตา
เพราะช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา ถูกตลาดหลักทรัพย์ประกาศใช้มาตรการกำกับการซื้อขายมาตลอด จากมาตรการระดับ 1 จนถึงมาตรการระดับ 3 แต่ราคาหุ้นกลับถูกลากขึ้นชนเพดานสูงสุด 30% ติดต่อกันทั้ง 3 วัน
ทั้งที่ไม่มีข่าวดีสนับสนุน ผลประกอบการขาดทุนติดต่อหลายปี และยังถูกขึ้นเครื่องหมาย C ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2561 เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าต่ำกว่า 50% ของทุนจดทะเบียน และยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาฐานะทางการเงินได้
เมื่อช่วงต้นปี T ยังเคลื่อนไหวอยู่แถว 2 สตางค์ แต่หลัวงจากนั้นเริ่มขยับขึ้น และย่ำอยู่แถวระดับ 6-8 สตางค์มาพักใหญ่
การจุดพลุลากราคาหุ้น เริ่มต้นเมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา โดยขยับขึ้นมาปิดที่ 12 สตางค์ เพิ่มขึ้น 1 สตางค์ มูลค่าซื้อขาย 2.43 ล้านบาท
แต่วันที่ 3 กันยายน ราคาถูกลากขึ้นชนเพดานสูงสุด 30% โดยปิดที่ 15 สตางค์ เพิ่มขึ้น 3 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้น 25% มูลค่าซื้อขายกระโดดขึ้นไป 130.58 ล้านบาท
ตลาดหลักทรัพย์ประกาศใช้มาตรการกำกับการซื้อขาย เพื่อดับความร้อนแรงในทันที โดยกำหนดให้ซื้อหุ้นด้วยเงินสด หรือบัญชีแคชบัลลานซ์
แต่ไม่อาจสยบหุ้น T ได้ เพราะราคายังถูกลากขึ้นชนเพดานต่อเนื่องเป็นวันที่สอง โดยวันที่ 6 กันยายนขึ้นมาปิดที่ 19 สตางค์ เพิ่มขึ้น 4 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้น 26.67% มูลค่าซื้อขาย 206.54 ล้านบาท
ตลาดหลักทรัพย์ประกาศยกระดับมาตรการกำกับการซื้อขายทันที โดยยกระดับเป็นขั้นที่ 2 ต้องซื้อขายหุ้นด้วยเงินสด และห้ามคำนวณวงเงินซื้อขายหุ้น
แต่ T ไม่สะทกสะท้าน เพราะวันที่ 7 กันยายน ราคาถูกลากขึ้นชนเพดาน 30% ติดต่อเป็นวันที่สาม โดยปิดที่ 24 สตางค์ เพิ่มขึ้น 5 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้น 26.32% มูลค่าการซื้อขาย 421.52 ล้านบาท จนตลาดหลักทรัพย์ต้องประกาศใช้มาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 3
ต้องซื้อขายด้วยเงินสด ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขายหุ้น และห้ามหักกลบชำระค่าซื้อขายในวันเดียวกัน
ผลประกอบการ T ย่ำแย่หลายปีติดต่อ โดยปี 2561 ขาดทุนสุทธิ 186.80 ล้านบาท ปี 2562 ขาดทุนสุทธิ 91.01 ล้านบาท ปี 2563 ขาดทุนสุทธิ 22.67 ล้านบาท และงวด 6 เดือนแรกปีนี้ มีรายได้รวมเพียง 10.63 ล้านบาท แต่ขาดทุนสุทธิ 31.37 ล้านบาท
จากราคาเพียง 2 สตางค์ พุ่งทะยานขึ้นมาที่ 24 สตางค์ เพิ่มขึ้น 22 สตางค์หรือ 1,100% ภายในเวลาไม่ถึงปี เป็นการขึ้นที่ไม่มีเหตุผลทางด้านปัจจัยพื้นฐานอธิบาย และไม่มีพัฒนาการทางธุรกิจใด ๆ สนับสนุน จึงถูกจับจ้องว่า น่าจะมีกลุ่มคนเข้าไปสร้างราคาหุ้น
เพียงแต่ไม่รู้ว่า เป็นคนกลุ่มใดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม T เป็นเพียง 1 ในหุ้นตัวเล็กตัวร้ายที่ราคาเคลื่อนไหวอย่างไม่ปกติ และเป็นหนึ่งในหุ้นที่อาจสร้างความเสียหายให้นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนหน้าใหม่
และตลาดหลักทรัพย์ยังไม่มีมาตรการใด เพื่อสยบหุ้นที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายปั่นราคาได้
นักลงทุนจึงมีโอกาสตกเป็นเหยื่อของหุ้นตัวเล็กตัวร้าย โดยเฉพาะนักลงทุนหน้าใหม่ ซึ่งปีนี้หลั่งไหลเข้ามาในตลาดหุ้นนับแสนราย และตลาดหลักทรัพย์ มีหน้าที่ต้องปกป้องนักลงทุนหน้าใหม่ที่ด้อยประสบการณ์เหล่านี้
มาตรการกำกับการซื้อขาย พิสูจน์แล้วว่า เริ่มจะใช้ไม่ได้ผล เพราะหุ้นร้อนดื้อยา และยังลากราคากันอย่างเย้ยฟ้าเท้าดินกันต่อไป โดยเฉพาะหุ้น T
ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ต้องทบทวนในทันทีว่า จะหามาตรการใดมาสยบหุ้นร้อน เพื่อช่วยนักลงทุนให้พ้นภัยจากพฤติกรรมการปั่นหุ้นที่เกิดขึ้นนับร้อยกรณีในปีนี้