บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) เปิดเผยว่า การปรับฐานลงของดัชนีหุ้นดาวโจนส์ในวันศุกร์ 0.78% หากอิงปัจจัยที่ส่งผลให้ดาวโจนส์ปรับตัวลงคือ การรายงานดัชนีราคาผู้ผลิตที่สูงกว่าตลาดประเมินไว้ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเร็วกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม เชื่อผลต่อ SET จำกัด เนื่องจากในช่วง 6 ปีย้อนหลังนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ SET ต่อเนื่องกว่า 7 แสนล้านบาท ส่งผลให้ยอดซื้อสะสมสุทธิต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ส่วนปัจจัยสัปดาห์นี้จะเน้นไปที่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศเป็นหลักได้แก่ 1.คืนวันอังคารตามเวลาประเทศสหรัฐฯ มีกำหนดรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ตลาด คาดที่ 5.3% จากปีก่อน ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนที่ 5.4% จากปีก่อน หากจะเป็นบวกกับตลาดหุ้นเชื่อว่าการออกมาใกล้เคียงคาดหรือต่ำกว่าคาดจะเป็นบวกมากกว่าสูงกว่าคาด 2.ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดี Bloomberg คาดที่ -0.8% จากเดือนก่อนหน้า หากจะเป็นบวกต่อตลาดคือใกล้เคียงคาดหรือต่ำกว่าคาด ส่วนอื่นๆ จะเป็นเรื่องของภายในประเทศโดยเฉพาะเรื่องของโควิด-19 ประชุม ศบค. ซึ่งในวันศุกร์ที่ผ่านมา ยังคงเวลาเคอร์ฟิวที่ 21.00-04.00 น. พร้อมคงจังหวัดสีแดงไว้เท่าเดิม มองผลของการประชุมไม่มีผลมากกับการลงทุน
ทั้งนี้ สัปดาห์นี้ภายในประเทศยังเป็นเรื่องของโควิด-19 การติดเชื้อวันอาทิตย์ยังเป็นไปในทิศทางดี แม้จะเปิดเมืองมาแล้ว 12 วัน แต่ตัวเลขติดเชื้อมิได้เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากระหว่างสัปดาห์เห็นการติดเชื้อที่ทำจุดต่ำสุดใหม่จะยิ่งเป็นบวกกับตลาดมากขึ้นและคาดหวังถึงการผ่อนคลายจากภาครัฐที่จะตามมา เช่น ลดเวลาเคอร์ฟิว ขยายระยะเวลาเปิดศูนย์การค้า มองกรอบ SET สัปดาห์นี้ที่ 1,625-1,650 จุด
กลยุทธ์การลงทุน สะสม Domestic Play สำหรับการลงทุนระยะกลางแต่ให้เน้น Laggard (ยังขึ้นน้อย) หรือราคายังไม่เกินกว่าก่อนเกิดโควิด-19 เช่น AOT BBL BEM BJC BTS CPN CPALL M MAJOR PLANB VGI ส่วนระยะสั้นแนะนำหุ้นกำไรครึ่งปีหลังแข็งแกร่งรวมไปถึงหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ COM7 CBG GLOBAL KCE SYNEX SIS WICE
SYNEX (ถือ/ราคาเป้าหมาย 25 บาท) เก็งกำไรระยะสั้นจากผลบวกของการเปิดตัว iPhone 13 ในวันพุธ ส่วนผลประกอบการคาดไตรมาส 3/64 ผลประกอบการจะยังเติบโต จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการใช้อุปกรณ์ไอทีที่ยังสูง แต่คาดกำไรอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากผลกระทบจากการปิดหน้าร้านของลูกค้า SYNEX ตามมาตรการล็อกดาวน์
CBG (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 165 บาท) มองราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมา 15% จากจุดสูงสุดก่อนหน้าสะท้อนความอ่อนแอของผลประกอบการไปแล้ว โดยคาดผลประกอบการไตรมาส 3/64 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้าจากยอดขายที่อ่อนตัวลงในทุกประเทศยกเว้นรายได้จัดจำหน่ายในประเทศ รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนตัวลงช่วงปีก่อน จากต้นทุนน้ำตาลและอะลูมิเนียมที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ระยะยาวยังมองบริษัทแข็งแกร่ง