นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมพิจารณาปรับเป้าหมายรายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นหลังสิ้นงวดไตรมาส 3/64 จากเดิมที่คาดจะโตได้ 8-10% เนื่องด้วยครึ่งปีแรกเติบโตไปแล้ว 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้จะยังเติบโตต่อเนื่องตามทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เติบโตรับอานิสงส์การส่งออกรถยนต์ที่ทำได้ดีขึ้น
ประกอบกับปัญหาการขาดแคลนชิปที่ส่งผลกระทบให้การผลิตรถยนต์ชะลอลงนั้น ขณะนี้ปัญหาดังกล่าวเริ่มกลับมาเป็นภาวะปกติแล้ว ทำให้คาดว่าจะมีคำสั่งซื้อทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้น รวมถึงบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามไปด้วย
ส่วนธุรกิจในประเทศจีนในปีนี้แนวโน้มเริ่มดีขึ้น แม้จะยังมีผลขาดทุนอยู่จากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงการลงทุนยังต้องรอเวลา แต่มั่นใจว่าปี 65 จะสามารถทำกำไรได้
นายวิวรรธน์ กล่าวอีกว่า ภายหลังจากที่บริษัท พีเจ เมดิคอล จำกัด (PJM ) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ PJW ถือหุ้นอยู่ 100% ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการวิจัยและพัฒนา และการทำการขายและการตลาดอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ทำจากพลาสติก ร่วมกับ บมจ.อินเตอร์ ฟาร์มา (IP) คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากวางจำหน่ายอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ทำจากพลาสติกในไตรมาส 4/64 และจะเข้ามาเต็มปีในปี 65 โดยวางเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 300 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาดราว 10%
สำหรับการขยายเข้าสู่อุตสาหกรรมเมดิคอล นายวิวรรธน์ มองว่า บริษัทถือว่ามีองค์ความรู้ชั้นสูงในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และยังมีความสามารถในการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีความสะอาดสูง ทั้งในกลุ่มอาหาร นม นมเปรี้ยว บริษัทจึงนำปัจจัยดังกล่าวมาผนวกกับ TPM System ที่มี ยกระดับเรื่องความสะอาดและเทคโนโลยี รวมถึงทำความเข้าใจในตลาด โดยการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์เพื่อขยายตลาดออกไป ทำให้มั่นใจว่าตลาดเครื่องมือทางการแพทย์จากพลาสติกใช้แล้วทิ้งจะเป็นตัวตอบโจทย์ที่ดีที่จะทำให้บริษัทเติบโตไปในอนาคต และคาดหวังว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ยอดขายบริษัทปัจจุบันที่เป็นน้ำมันเครื่องประมาณ 1,500 ล้านบาท จะมีรายได้เพิ่มจากเครื่องมือทางการแพทย์จากพลาสติกใช้แล้วทิ้ง เทียบเท่ากับน้ำมันเครื่อง เนื่องจากมีขนาดตลาดค่อนข้างใหญ่มาก
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมองอุตสาหกรรมน้ำมันเครื่องจากนี้ไปอีก 5 ปี การเติบโตของรถยนต์สันดาปจะยังมีอยู่ และคาดว่าตลาดน้ำมันเครื่องจะเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี แต่ภายหลังปี 70 ไปแล้วมองว่าตลาดรถยนต์อาจเปลี่ยนแปลงไปสู่เทคโนโลยีแบตเตอรี่มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันก็เริ่มมีการพัฒนาในเรื่องดังกล่าวค่อนข้างมาก ทำให้บริษัทมีการวางแผนเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ผ่านการขยายธุรกิจสู่ธุรกิจเครื่องมือแพทย์
ด้านงบลงทุนปีนี้ วางงบลงทุนไว้ที่ 130 ล้านบาท โดยใช้ไปแล้วในครึ่งปีแรกแล้ว 60% ในการลงทุนคลังสินค้าใหม่ และรองรับโปรเจกต์ในอนาคตเพื่อลดค่าเช่าคลังสินค้าข้างนอก ขณะที่ครึ่งปีหลังจะใช้ในคลังสินค้าชลบุรี และซื้อเครื่องจักรเข้ามาเพิ่ม โดยหลักจะอยู่ในส่วนของการลดต้นทุน
นายวิวรรธน์ กล่าวว่า บริษัทมีการเจรจาในเรื่องการย้ายหลักทรัพย์เข้าไปจดทะเบียนใน SET แต่ปัจจุบันยังไม่มีแผนชัดเจน เนื่องด้วยยังอยู่ระหว่างการศึกษาถึงข้อดีข้อเสีย และจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพราะการย้ายไปต้องให้ประโยชน์สูงสุดกับผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้ถือหุ้น แต่อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าในที่สุดบริษัทต้องมีการเติบโตและย้ายเข้าสู่ SET ต่อไป