นายจิรศักดิ์ สุนทรพันธุ์ ผู้จัดการฝ่ายหน่วยงานการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น สะท้อนได้จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ต่างๆ แต่หากเทียบกับครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เบื้องต้นเดือน ก.ค.มีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องมาจากไตรมาส 2/64 โดยยังต้องรอดูไตรมาสที่เหลือของปีว่าจะเป็นอย่างไร
ขณะที่ทั้งปียังคงเป้าหมายรายได้เติบโต 8-10% จากราคาน้ำมัน และราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้น รวมถึงกำลังการผลิตใหม่ๆ ที่จะเข้ามาจากกำลังการผลิตของโรงงานแนฟทาแครกเกอร์ (ORP) ที่เพิ่มขึ้น และโครงการผลิตสารโพรพิลีนออกไซด์และโครงการผลิตสารโพลีออลส์ที่เริ่มเปิดดำเนินการผลิตตั้งแต่ช่วงต้นปี รวมถึงตัว PTA และ PET ที่มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
สำหรับภาพรวมตลาดน้ำมันดิบในครึ่งปีหลังนี้ ปัจจัยหลักยังคงมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมัน และราคาผลิตภัณฑ์ต่างๆ มีความผันผวน ขณะเดียวกัน ยังมีความแตกต่างของการดำเนินนโยบายในการรับมือกับสถานการณ์ของ 2 ซีกโลก ทำให้จะเห็นได้ว่าบางประเทศเปิดให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ จึงเป็นผลให้มีความต้องการใช้น้ำมัน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนฝั่งประเทศตะวันออกมีนโยบายควบคุมโควิด-19 หรือใช้มาตรการล็อกดาวน์
นอกจากนี้ กำลังการผลิตของโรงกลั่นในฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นตามลำดับ เช่นเดียวกับฝั่งเอเชียที่เริ่มมีการทยอยปรับขึ้น แต่ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นของฝั่งเอเชียยังไม่ได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ทำให้ความต้องการ 2 ฝั่งไม่สมดุลกัน ขณะที่ฝั่งตะวันตกมีการใช้น้ำมันในการเดินทางค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเบนซิน ทำให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดจะอยู่สูงกว่าน้ำมันดีเซล จากความต้องการใช้น้ำมันอากาศยานที่ยังไม่กลับมา ประกอบกับเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีขึ้น
อีกทั้งมองการใช้น้ำมันเดินเรือกำมะถันต่ำ (VLSFO) ในครึ่งหลังนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการเดินทางทางอากาศจำกัด คาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 12-13 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นายจิรศักดิ์ กล่าวว่า ด้านผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ในครึ่งปีหลังนี้ แบ่งเป็นพาราไซลีน มองว่าจากสถานการณ์โควิด-19 ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์สิ่งท่อต่างๆ โดยเฉพาะในตลาดจีนยังไม่ได้กลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่ยังต้องจับตาดูกำลังการผลิตใหม่ๆ ที่จะทยอยเข้ามาในครึ่งหลังนี้ แต่อย่างไรก็ตาม มีบางโรงขนาดใหญ่ในจีนที่ได้มีการเลื่อนแผนการเริ่มการผลิตออกไป จึงยังหนุนราคาให้อยู่ในระดับที่ดี โดยคาดว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ของพาราไซลีน และแนฟทาจะทรงตัวอยู่ได้ที่ 20-50 เหรียญสหรัฐ/ตันตลอดปีนี้
ด้าน PTA แม้จะมีกำลังการผลิตใหม่ๆ แต่มีการควบคุมกำลังการผลิตจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มองว่า PTA Margin จะรักษาระดับเอาไว้ได้ที่ 90-100 เหรียญสหรัฐ/ตัน และ PET แม้จะมีกำลังการผลิตใหม่ เช่นเดียวกับปิโตรเคมีตัวอื่นๆ แต่เนื่องด้วยกำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ซึ่งปกติจะมีความต้องการใช้เส้นไยโพลีเอสเตอร์มากขึ้น และทำให้รักษาระดับมาร์จิ้นเอาไว้ได้จากไตรมาส 3/64 จนถึงต้นปีหน้า โดยโควิด-19 จะเป็นตัวกำหนดความต้องการใช้สินค้า Community เหล่านี้
ส่วนเบนซินดีขึ้นอย่างมากจากกำลังการผลิตใหม่ของจีนที่เลื่อนแผนการเริ่มผลิตออกไป รวมถึงยังได้รับผลบวกหลังผลกระทบจาก PolarVortex ในประเทศสหรัฐฯ คลี่คลายลงทำให้โรงงานผลิตสไตรีนโมโนเมอร์กลับมาเดินหน้าผลิต รวมถึงปัจจัยสนับสนุนด้านอุปสงค์ของการใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มสไตรีนโมโนเมอร์และกลุ่มฟีนอล โดยเฉพาะสินค้าปลายทางในกลุ่มอตุสาหกรรมทางการแพทย์ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตของกลุ่มฟีนอลที่กำลังจะทยอยเข้ามาอาจส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลงบ้างในช่วงที่เหลือของปี
ผลิตภัณฑ์เอทิลีน HDPE ปรับตัวขึ้น ได้รับปัจจัยหนุนจากดีมานด์แพกเกจจิ้ง และราคาวัตถุดิบแนฟทา ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ส่งผลให้กลุ่มโพลิเมอร์ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และคาดราคาเฉลี่ยโดยรวมจะดีกว่าปีก่อนทั้งปี หรือคาดว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ HDPE จะอยู่ที่ 500-550 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนราคาผลิตภัณฑ์ MEG จะปรับตัวลงเล็กน้อย จากกำลังการผลิตที่เข้ามาใหม่
นายจิรศักดิ์ กล่าวอีกว่า แผนงานในช่วง 5 ปีข้างหน้า (64-68) บริษัทยังคงวางงบลงทุนไว้ที่ 5,681 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะใช้สำหรับการลงทุนในปีนี้เป็นหลัก 5,344 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น จำนวน 25 ล้านเหรียญสหรัฐใช้ในโครงการพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (Recycle Plant) โดยบริษัทลงทุนผ่านการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน คือ บริษัท เอ็นวิค โค จำกัด (ENVICCO) ถือหุ้นในสัดส่วน 70% ร่วมกับ ALPHA ถือหุ้น 30% มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลกำลังการผลิต 45,000 ตันต่อปี แบ่งเป็น rPET 30,000 ตันต่อปี และ rHPDE 15,000 ตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4/64
โครงการผลิตพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง (Super Engineering Plastics) ภายใต้บริษัท คุราเร่ จีซี แอดวานซ์ แมททีเรียลส์ จำกัด (KGC) ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง PTTGC และผู้ร่วมทุนอีก 2 บริษัท คือ บริษัท คุราเร่ จำกัด และซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น คาดใช้เงินลงทุนราว 28 ล้านเหรียญาสหรัฐ และโครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 (Olefins 2 Modification Project) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คาดใช้งบลงทุน 47 ล้านเหรียญสหรัฐ
พร้อมกันนี้ ยังมีการลงทุนซื้อกิจการ Allnex โดยใช้เงินทุน 4,802 ล้านเหรียญสหรัฐ และการทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญ บมจ.วีนิไทย (VNT) โดยสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ VNT (โดยไม่รวมหุ้นสามัญของ VNT ที่บริษัทฯ ถืออยู่) เป็นจำนวน 889,154,755 หุ้น หรือคิดเป็น 75.02% ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของ VNT เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในราคาหุ้นละ 39 บาท ใช้เงินลงทุนราว 238 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นในไตรมาส 4/64