xs
xsm
sm
md
lg

วิจัยกรุงศรีมองโอกาส กนง.ปรับลดดอกเบี้ยมีมากขึ้นในการประชุมครั้งหน้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ระบุจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้เติบโต 0.7% พร้อมส่งสัญญาณอาจผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 4 สิงหาคม มีมติ 4 ต่อ 2 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% โดยกรรมการ 2 ท่านเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อเป็นมาตรการเสริมในการช่วยพยุงและรองรับแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงสูงในระยะข้างหน้า ล่าสุด ธปท.ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้และปีหน้าเป็นขยายตัว 0.7% และ 3.7% จากเดิมคาด 1.8% และ 3.9% ตามลำดับ อันเนื่องมาจากผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ที่มากกว่าคาด ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงจากประมาณการเดิม โดยกรณีฐาน หากควบคุมการระบาดได้และผ่อนคลายมาตรการต้นไตรมาส 4/2564 จะมีนักท่องเที่ยว 1.5 แสนคน ในปีนี้ และ 6 ล้านคนในปีหน้า แต่หากการระบาดยืดเยื้อและผ่อนคลายได้ในปลายไตรมาส 4/2564 จะเหลือนักท่องเที่ยวปีนี้เพียง 1 แสนคน และปีหน้า 2 ล้านคน

จากมติคงดอกเบี้ยไม่เป็นเอกฉันท์ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 ที่การตัดสินใจของ กนง.ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้สำหรับการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากระดับปัจจุบัน ประกอบกับมุมมองเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเชิงลบมากขึ้นและยังระบุถึงความเสี่ยงด้านต่ำที่มีอยู่ค่อนข้างมาก วิจัยกรุงศรีประเมินความน่าจะเป็นของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนกันยายนจะมีเพิ่มมากขึ้น หากมีกรณีที่ประสิทธิผลของมาตรการล็อกดาวน์ รวมทั้งประสิทธิภาพและการฉีดวัคซีนต่ำกว่าคาด ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้จำเป็นต้องขยายเวลาการดำเนินมาตรการล็อกดาวน์นานขึ้น รวมถึงการแพร่ระบาดในประเทศ และมาตรการล็อกดาวน์มีผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจไทย และแผ่ลามกระทบไปยังภาคส่งออกที่เป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนการเติบโตเพียงตัวเดียวที่เหลืออยู่ในปีนี้ และมาตรการทางคลังและความช่วยเหลือทางการเงินที่กำลังทยอยเพิ่มเติมมีความน่าผิดหวังหรือไม่เพียงพอที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบของการระบาดของ COVID-19

ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 0.45% YoY ชะลอลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 จาก 1.25% ในเดือนมิถุนายน แม้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก (+29.4%) โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2564 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 0.83% และ 0.26% ตามลำดับ และในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยอาจสูงกว่าช่วงครึ่งปีแรก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากแนวโน้มราคาพลังงานที่ยังทรงตัวในระดับสูง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางชนิดอาจปรับตัวสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่เงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นอย่างจำกัด เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศที่ยังรุนแรงและยืดเยื้อ ส่งผลให้อุปสงค์อ่อนแอลงมาก สะท้อนจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคล่าสุดเดือนกรกฎาคมปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ รวมถึงความต่อเนื่องจากมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพแก่ประชาชน จึงคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะมีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และยังอยู่ในระดับต่ำซึ่งเอื้อต่อการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่องในยามที่เศรษฐกิจเผชิญกับภาวะวิกฤต
กำลังโหลดความคิดเห็น