บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) เปิดเผยว่า ประเมิน SET INDEX สัปดาห์นี้จะแกว่งตัว Sideway-Sideway Down ในกรอบ 1,500-1,530 จุด จากยังไม่มีปัจจัยใหม่ โดยสถานการณ์โคิด-19 ยังคงมีผลมากสุดต่อการลงทุน ข้อมูลล่าสุดยังไม่เห็นสัญญาณบวกจาก 1.จำนวนผู้ติดเชื้อทรงตัวระดับสูง 2.แนวโน้มการระบาดทั้งต่างจังหวัด รวมถึง กทม. และปริมณฑล ยังไม่เห็นสัญญาณกลับตัว หรือชะลอตัว 3.การติดเชื้อต่อวันในวันอาทิตย์สูงกว่าหายป่วยกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม มีข้อดีเล็กน้อยคือการเสียชีวิตต่อวันลดลง แต่เชื่อว่าผลบวกต่อการลงทุนยังจำกัด
ขณะที่สัปดาห์นี้จะเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2/64 โดยเฉพาะกลุ่ม Domestic Play ซึ่งเป็นกลุ่มที่รับผลกระทบมากสุดกับการระบาดโควิด-19 ต้องติดตามว่าทั้งนักวิเคราะห์และผู้บริหารจะมีมุมมองอย่างไรหลังจากนี้ทั้งในเชิง Outlook และปัจจัยพื้นฐาน (Valuation, Target Price) อิงข้อมูลจาก Bloomberg ประเมินว่าสัปดาห์นี้ SET 100 จะรายงานราว 72 ตัว
ดังนั้น จากข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏเต็มไปด้วยปัจจัยที่ค่อนไปทางลบ จึงคาด SET INDEX จะแกว่งไซด์เวย์ โดยมีปัจจัยกดดันเพิ่มเติมจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่ากระตุ้นแรงขายนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น
ส่วนปัจจัยสัปดาห์นี้นอกเหนือจากการประกาศผลประกอบการ ได้แก่ การรายงานตัวเลข CPI สหรัฐฯ ในวันพุธ Bloomberg ประเมิน +5.4%YoY เชื่อตลาดอยากเห็นตัวเลขที่ใกล้เคียงคาดหรือดีกว่าคาดเล็กน้อย เพื่อมิให้ FED รีบถอนสภาพคล่องออกจากตลาด (QE Tapering) และสถานการณ์โควิด-19 ภายในประเทศหากมีสัญญาณบวก เช่น หายป่วยสูงกว่าติดเชื้อต่อวัน หรือติดเชื้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ตลาดอาจเริ่มตอบรับเชิงบวก อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุการณ์ตรงข้ามกันก็อาจจะเป็นแรงกดดันแทน
กลยุทธ์การลงทุน ยังคงแนะนำหุ้น Defensive อย่างสื่อสารและโรงไฟฟ้าเช่นเดิม ได้แก่ ADVANC BCPG BGRIM GPSC GULF รวมถึงกลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า อย่าง ASIAN DELTA HANA KCE TU เชื่อว่าจะ Outperform ได้มากกว่า Domestic Play
แนะนำ GPSC (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 95 บาท) คาดผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2/64 จะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า จากผลการดำเนินงานที่สูงขึ้นของ IPP ตามปัจจัยฤดูกาล (ค่าความพร้อมจ่ายที่สูงขึ้นของทั้ง GHECO-one และ GIPP) และการรับรู้กำไรที่สูงขึ้นจาก XPCL
KCE (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 90 บาท) คาด KCE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 ที่ 531 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 644% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 6% จากไตรมาสก่อนหน้า) โดยมีปัจจัยผลักดันหลักมาจากรายได้ที่ขยายตัวสู่ 3.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานที่ต่ำในปี 63 และเพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสแรกตามจำนวนวันดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นราคา