xs
xsm
sm
md
lg

EIC SCB ประเมินโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยมีสูงขึ้น หลัง กนง.เสียงแตก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC SCB) คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ต่อเนื่องตลอดปี 2564 และปี 2565 แต่โอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งภายในปีนี้มีมากขึ้นเช่นกัน โดยประเมินว่า ในกรณีฐาน กนง. น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีหน้า เนื่องจากการประมาณการเศรษฐกิจล่าสุดของ กนง. ในกรณีฐานยังคงมีสมมติฐานว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดอาจปรับดีขึ้นและสามารถผ่อนคลายการ lockdown ได้ในช่วงต้นของไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งจะทำให้ความจำเป็นในการลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้มีน้อยลง นอกจากนี้ กรรมการส่วนใหญ่ยังมองว่า ประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในภาวะปัจจุบันจะมีจำกัด

โดยปัญหาหลักคือ การกระจายสภาพคล่องไปยัง SMEs และครัวเรือนต่างๆ อย่างทั่วถึงมากกว่าปัญหาต้นทุนทางการเงิน นอกจากนั้น กนง. ต้องชั่งน้ำหนักกับผลกระทบข้างเคียงของการลดดอกเบี้ยลงไปใกล้ศูนย์มากยิ่งขึ้น เช่น 1) อัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงอีกอาจทำให้ประชาชนบางกลุ่มที่พึ่งพารายรับหลักจากดอกเบี้ยเงินฝาก เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ ต้องหันมาออมเงินมากขึ้นและลดการใช้จ่ายลง 2) policy space จะลดลงอีกและไม่เพียงพอต่อการรองรับกรณีที่เศรษฐกิจปรับตัวเลวร้ายกว่านี้ และ 3) การปรับลดดอกเบี้ยลงมามากอาจทำให้เกิดการก่อหนี้เพิ่มในปริมาณมาก ส่งผลให้การปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะต่อไปทำได้ยากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงด้านต่ำของเศรษฐกิจที่มีอยู่มากโดยเฉพาะการระบาดที่อาจยาวนานกว่าคาดจะทำให้โอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้งภายในปีนี้มีอยู่พอสมควร (ประมาณ 30%) แต่หากความเสี่ยงด้านต่ำเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดที่รุนแรงและยาวนานกว่าที่คาด ผลกระทบจากมาตรการปิดเมืองต่อการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่รุนแรงกว่าที่ประเมินไว้ หรือการออกมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐทำได้น้อยกว่าคาดมาก ก็อาจทำให้คณะกรรมการส่วนใหญ่จำเป็นต้องหันมาดำเนินนโยบายผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมเพื่อพยุงเศรษฐกิจผ่านการลดภาระหนี้ดอกเบี้ยและการสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของภาคครัวเรือนและ SMEs อีกทั้งยังช่วยผ่อนคลายภาวะการเงินและลดภาระการชำระดอกเบี้ยของภาครัฐจากหนี้สาธารณะที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะต่อไปด้วยเช่นกัน และนอกจากการพิจารณาลดดอกเบี้ยแล้ว กนง. อาจพิจารณาขยายระยะเวลามาตรการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF ซึ่งนำมาใช้เมื่อปีที่แล้ว รวมถึงอาจพิจารณาปรับลดอัตราเงินนำส่งเพิ่มเติมได้

นอกจากนี้ ธปท. จะพิจารณาปรับมาตรการการเงินที่มีอยู่และอาจออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเร่งจัดสรรสภาพคล่องไปสู่กลุ่มผู้ถูกกระทบจากการระบาดให้กระจายตัวทั่วถึงและเพียงพอมากขึ้น โดยความท้าทายสำคัญที่ภาครัฐจะต้องเร่งพิจารณาปรับเงื่อนไขและลดอุปสรรคของโครงการเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการกระจายสภาพคล่อง โดยสำหรับโครงการสินเชื่อ SMEs ภาครัฐอาจต้องพิจารณากลไกที่เข้ามามีส่วนร่วมและลดความเสี่ยงด้านเครดิตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การปรับลดค่าธรรมเนียมประกันสินเชื่อ บสย. การเพิ่มสัดส่วนการชดเชยความเสียหายของพอร์ตสินเชื่อ หรือการประกาศรับความเสี่ยงของภาครัฐในรูปแบบ loan guarantee ในสัดส่วนสูงเพียงพอ ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการกระจายสภาพคล่องแก่ธุรกิจ SMEs ที่กำลังถูกกระทบจากวิกฤต COVID-19 อย่างรุนแรง

ด้านเงินบาทปรับอ่อนค่าลงมากกว่าสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดและดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเงินบาทอยู่ที่ 33.1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากต้นปี 9.4% ซึ่งเป็นการอ่อนค่าที่มากกว่าค่าเงินของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค (รูปที่ 3) โดยในระยะสั้นนี้ เงินบาทมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับอ่อนค่าจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์เดลตาที่ยืดเยื้อและรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้เงินทุนไหลออกจากไทยในเดือนกรกฎาคม ทั้งในตลาดตราสารหนี้
และตลาดตราสารทุน

โดยความกังวลต่อการแพร่ระบาดในหลายประเทศได้ส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้น จึงทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์การแพร่ระบาดปรับดีขึ้นตามคาดในไตรมาส 4 ปีนี้ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นได้เล็กน้อยในช่วงปลายปี โดยหากค่าขนส่งสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาจากปัญหา Supply Chain disruption บรรเทาลงในช่วงที่เหลือของปี จะส่งผลให้ไทยมีการขาดดุลบริการลดลง นอกจากนี้ หากภาครัฐสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดและนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นจะช่วยให้ความต้องการเงินบาทปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ โดย EIC SCB คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 32.5-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ


กำลังโหลดความคิดเห็น