xs
xsm
sm
md
lg

CK-STEC-SEAFCO เด่น ก่อนประกาศผู้ชนะรถไฟทางคู่ ส.ค.นี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โบรกฯ ส่องหุ้นรับเหมาฯ ตัวไหนน่าสนใจก่อนประกาศผู้ชนะรถไฟทางคู่ 2 เส้น เดือนหน้า คาดจะหนุน Backlog พุ่งอย่างมีนัยสำคัญ แนะนำเพื่อความปลอดภัยควรเลือกซื้อสะสมเฉพาะหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี เชียร์ซื้อ CK-STEC ส่วน SEAFCO ซื้อเก็งกำไร แต่หวั่นยังมีปัจจัยลบจากราคาเหล็กพุ่ง-ปิดแคมป์กดดัน

บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในเดือน ส.ค.64 คาดว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะประกาศผลผู้ชนะรถไฟทางคู่ 2 เส้นทาง จากเดิมคาดกันว่าจะมีการประกาศผลผู้ชนะในวันที่ 8 และ 15 ก.ค.64 ตามลำดับ หลังจากพิจารณาเกณฑ์ทางด้านเทคนิคก่อน แต่ก็เลื่อนออกไป โดยเชื่อว่าเมื่อมีการประกาศออกมาจะสร้างความคึกคักให้หลักทรัพย์กลุ่มนี้ได้อีกครั้ง เพราะจะทำให้แต่ละบริษัทมีงานก่อสร้างในมือ (Backlog) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับรายชื่อผู้รับเหมาก่อสร้างที่ได้เสนอราคาต่ำสุดในโครงการรถไฟทางคู่ 2 โครงการใหญ่คือ สายเด่นชัย-เชียงราก-เชียงของ มูลค่าราว 7.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็น 3 สัญญา และสายบ้านไผ่-นครพนม มูลค่าราว 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็น 2 สัญญา

สายเด่นชัย-เชียงราก-เชียงของ ผู้เสนอราคาต่ำสุดคือ 1) ITD กับ NWR ที่ 26,600 ล้านบาท จากการสอบถาม NWR เป็นส่วนของบริษัทที่ราว 5,000 ล้านบาท จึงจะเป็นส่วนของ ITD ราว 21,600 ล้านบาท 2) JV CKST-DC2 (ประกอบด้วย CK, STEC และบริษัทนอกตลาด) เสนอราคาต่ำสุดที่ 26,900 ล้านบาท 3) JV CKST-DC3 (ประกอบด้วย CK, STEC และบริษัทนอกตลาด) เสนอราคาต่ำสุดที่ 19,390 ล้านบาท

สายบ้านไผ่-นครพนม ผู้เสนอราคาต่ำสุดคือ 4) AS Associate ซึ่งเป็นผู้รับเหมาท้องถิ่น เสนอราคาต่ำสุดที่ 27,100 ล้านบาท 5) UNIQ เสนอราคาต่ำสุดที่ 28,310 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวอาจมีปัจจัยลบ เนื่องจากอาจจะมีผู้ทักท้วงผลการประกาศ ได้มีกระแสข่าวกรณีหลายภาคส่วนมีความสงสัยเกี่ยวกับการประมูลก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ 2 เส้นทางข้างต้น และเป็นการปิดทางผู้รับเหมาขนาดกลาง แต่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ยืนยันถึงความถูกต้องในขั้นตอนการประมูลทุกประการ

แนะนำซื้อ CK-STEC ส่วน SEAFCO ซื้อเก็งกำไร

ทั้งนี้ แนะนำหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ ทางด้านปัจจัยพื้นฐาน เพื่อความปลอดภัยควรเลือกซื้อสะสม เฉพาะหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี แนะนำ ซื้อ CK (ราคาพื้นฐาน 22.00 บาท) STEC (ราคาพื้นฐาน 17.20 บาท)

สำหรับ ITD ไม่ได้ทำการวิเคราะห์ แต่ตลาดนิยม Trading โดยเฉพาะช่วงประกาศได้งานใหม่ ซึ่งสิ่งที่ต้องระวังคือ ฐานะการเงินไม่แข็งแกร่งนัก ส่วน NWR แนะนำเชิงลบคือ เต็มมูลค่า ราคาพื้นฐาน 1.21 บาท แต่ราคาหุ้นปัจจุบันลดลงจนต่ำกว่าราคาพื้นฐานมาก จึงมีโอกาสจะรีบาวนด์ได้เช่นกัน

SYNTEC แนะนำเชิงลบคือ เต็มมูลค่า ราคาพื้นฐานเพียง 1.29 บาท ซึ่งงานอาคารสูงเอกชนมีน้อย

ด้าน SEAFCO แนะนำ ซื้อเก็งกำไร ราคาพื้นฐาน 5.40 บาท ซึ่งคาดว่าจะได้งานรับเหมาช่วงจาก CK มาก จากสายสัมพันธ์ที่ดี โดยเฉพาะในกรณี CK ได้รถไฟทางคู่ถึง 2 สัญญา อาจหาจังหวะขายทำกำไร เพราะคาดว่าระยะสั้นกำไร Q2/64 จะยังลดลงมากเทียบกับ y-o-y สืบเนื่องจาก Backlog มีน้อย และขาดแคลนแรงงานต่างชาติ โดยเฉพาะชาวพม่า

2 ปัจจัยลบราคาเหล็ก-ปิดแคมป์ก่อสร้าง กดดัน

ทั้งนี้ มีปัจจัยลบจากเหล็กก่อสร้างราคาสูง คาดว่าราคาเหล็กเส้นที่ปรับตัวสูงขึ้นมากใน Q2/64 ต่อเนื่องมาจาก Q1/64 รวมครึ่งหลังปี 64 ขึ้นมาราว +30% จะมีผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นให้ลดลงได้ใน Q2/64 โดย Q1/64 ผลกระทบยังไม่มากจากการนำสต๊อกเหล็กเส้นที่เก็บไว้มาตั้งแต่ปลายปี 63 มาใช้ แต่ในงวด Q2/64 เริ่มหมดต้องสั่งซื้อเหล็กเส้นใหม่ในต้นทุนที่สูงเพิ่มขึ้น

ขณะที่งานภาครัฐจะชดเชยก็ต่อเมื่อผู้รับเหมาก่อสร้างรับต้นทุนส่วนเพิ่มไปก่อนราว 3-4% หรือที่เรียกว่าค่า K แต่งานภาคเอกชนส่วนใหญ่จะไม่มีค่า K อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงปลาย Q2/64 ราคาเหล็กเส้นได้ปรับตัวลงมาก หลังจีนผู้นำเข้ารายใหญ่ได้มีมาตรการให้ลดการเก็งกำไรลง จึงทำให้ปัญหาต้นทุนสูงเริ่มคลี่คลายได้ตั้งแต่ Q3/64

นอกจากนี้ ผลกระทบกรณีหยุดแคมป์คนงาน 1 เดือน เพื่อลดปัญหาการติดเชื้อโควิด-19 จากคลัสเตอร์นี้มาตั้งแต่ 28 มิ.ย.64 คาดว่าจะกระทบกำไรไม่มาก ราว 5-10% จากประมาณการทั้งปี 64 แต่จะกระทบมากขึ้นหากเป็นเพียงเฉพาะไตรมาส 3/64 และในกรณีที่คลัสเตอร์นี้ยังมีการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 และรัฐประกาศขยายเวลาต่ออาจจะส่งผลลบต่อผลการดำเนินงานได้อีก แต่มีข่าวว่ารัฐได้ยืดหยุ่นให้สำหรับบางงานก่อสร้างที่จะได้รับความเสียหายมากหากต้องหยุดงานไป เช่น งานประเภทใต้ดิน


กำลังโหลดความคิดเห็น