“สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ หรือ STI” แจ้งความคืบหน้าลงนามเป็นที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง โครงการศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ เตรียมความพร้อมผ่านระบบออนไลน์ หนุนกำหนดการเป็นไปตามเป้าหมาย โดยโครงการกำหนดการตอกเสาเข็ม ก.ย.64 คาดใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี หนุน Backlog ในมือของกลุ่ม STI แน่นกว่า 4 พันล้านบาท
นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI กล่าวว่า ความคืบหน้าล่าสุด โครงการก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ โดย STI ได้รับคัดเลือกให้เป็นที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง โดยมี นายไพรัช เล้าประเสริฐ ประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วย นาย กิตติศักดิ์ สุภาควัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมลงนามกับกระทรวงมหาดไทย ในสัญญาอย่างเป็นทางการ และถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ ด้วยมูลค่าโครงการก่อสร้างรวมสูงกว่า 5.57 พันล้านบาท และงานบริหารควบคุมก่อสร้าง มูลค่า 142 ล้านบาท
สำหรับผังแม่บทโครงการก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ เป็นอาคารหลังเดียวมีพื้นที่รวมประมาณ 215,000 ตารางเมตร สูง 21 ชั้น มีชั้นใต้ดินสำหรับจอดรถยนต์ 3 ชั้น เป็นที่ตั้งของส่วนราชการ 6 แห่ง ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวง กรมการปกครอง กรมที่ดิน กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
อย่างไรก็ดี แม้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 STI ยังเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานผ่านระบบออนไลน์ พร้อมทั้งประสานงานร่วมกันในทุกส่วนงานได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อสนับสนุนแผนการก่อสร้างให้เป็นไปตามกำหนด โดยปัจจุบัน โครงการกำหนดการตอกเสาเข็มในช่วงเดือนกันยายน 2564 คาดใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทได้รับความไว้วางใจให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารโครงการชั้นนำมากมาย สนับสนุนให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม หรืออยู่ที่กว่า 4,000 ล้านบาท เตรียมทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ และต่อเนื่องไปจนถึง 3-4 ปีข้างหน้า
อนึ่ง กลุ่มบริษัทได้ยกระดับการบริหารจัดการภายใต้สถานการณ์โควิด-19 พร้อมเดินหน้าลุยประมูลบิ๊กโปรเจกต์ในช่วงครึ่งปีหลังเต็มกำลัง โดยมีบริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด หรือ AEC ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มเสริมความแข็งแกร่งในการรับงานที่ปรึกษาโครงสร้างพื้นฐาน และการ Synergy ควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย และมองว่า หากสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลาย งานก่อสร้างซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศจะเร่งลงทุนตามแผนการอัดฉีดงบประมาณ เป็นโอกาสให้กลุ่มบริษัทได้รับงานต่อเนื่องในอนาคต