ธปท.ระบุคลินิกแก้หนี้ 9 เดือนได้ผลดี พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือเพื่อรองรับผลโควิด-19 ระลอก 3 และปรับหลักเกณฑ์เพื่อขยายความช่วยเหลือลูกหนี้ถึงธันวาคม 2564 มีลูกหนี้เข้าโครงการรวม 60,578 บัญชี ภาระหนี้เงินต้น 4,670 ล้านบาท โดยเฉลี่ยลูกหนี้ 1 ราย มีเจ้าหนี้ 3 ราย เฉลี่ยเงินต้น 244,444 บาท
นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ประชุมเพื่อประเมินผลมาตรการช่วยเหลือในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2563-มิถุนายน 2564) ผลโดยรวมถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก ลูกหนี้ของคลินิกแก้หนี้ 99% ยังสามารถชำระค่างวดได้ ส่วนที่พักชำระหนี้โดยสิ้นเชิงมีเพียง 1% นอกจากนี้ เพื่อรองรับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกที่ 3 จึงได้ขยายมาตรการช่วยเหลือออกไปจนถึงเดือนธันวาคม 2564 รวมทั้งผ่อนปรนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ได้เพิ่มมากขึ้น สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
ผลของมาตรการยา 2 สูตร เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ของโครงการคลินิกแก้หนี้ในช่วงเดือนตุลาคม 2563 ถึงมิถุนายน 2564 “สูตรจ่ายเท่าที่ไหว” ผ่อนปรนและจูงใจให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามความสามารถ ยิ่งชำระมากจะได้ส่วนลดดอกเบี้ยมากขึ้น ผลของยาสูตรจ่ายเท่าที่ไหวแสดงให้เห็นว่า การได้รับส่วนลดดอกเบี้ยเป็นแรงจูงใจที่สำคัญ ทำให้ลูกหนี้ยังคงพยายามชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในภาพรวมลูกหนี้ร้อยละ 99 ยังคงชำระค่างวดได้ โดยลูกหนี้จำนวน 14,044 ราย (ร้อยละ 77) ชำระหนี้เฉลี่ยร้อยละ 80 ขึ้นไปของค่างวด ได้ส่วนลดดอกเบี้ย 2% และจำนวน 2,467 ราย (ร้อยละ 14) ชำระหนี้เฉลี่ยร้อยละ 40-79.99 ของค่างวด ได้ส่วนลดดอกเบี้ย 1% ส่วนจำนวน 1,520 ราย (ร้อยละ 8) ชำระค่าหนี้น้อยกว่าร้อยละ 40 ของค่างวด จะไม่ได้รับส่วนลดดอกเบี้ย สำหรับลูกหนี้ที่ใช้ยา “สูตรจ่ายไม่ไหว” ที่ไม่ชำระค่างวดเลยมีเพียง 192 รายเท่านั้น (คิดเป็นร้อยละ 1)
จุดเด่นของมาตรการยา 2 สูตรที่ดำเนินการมาแล้วก็คือเป็นมาตรการที่ยึดความต้องการของลูกหนี้เป็นศูนย์กลาง (debtor’s choice) ทำให้สามารถช่วยเหลือและตอบโจทย์ลูกหนี้ได้ตรงกับความต้องการควบคู่กับการใช้แรงจูงใจและกลไกตลาดในการแยกคน 2 กลุ่มออกจากกัน ทำให้คลินิกแก้หนี้ลดภาระงานที่จะต้องประเมินลูกหนี้เป็นรายบุคคลไปมาก หากสถาบันการเงินนำกรอบความช่วยเหลือยาสองสูตรไปใช้จะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ตามที่สถานการณ์โควิด-19 ระลอกที่ 3 ยังคงน่าเป็นห่วง และส่งผลกระทบต่อคนในวงกว้างคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการคลินิกแก้หนี้จึงเห็นชอบให้ขยายมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ต่อไปอีกจนถึง เดือนธันวาคม 2564 โดยลูกหนี้สามารถชำระหนี้ตามความสามารถหรือจ่ายเท่าที่ไหว ซึ่งจะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 1-2% ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ชำระเข้ามาในช่วงเวลามาตรการ แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
(1) รายที่จ่ายค่างวดเฉลี่ยตั้งแต่ร้อยละ 80 ขึ้นไปจะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 2%
(2) รายที่จ่ายค่างวดเฉลี่ยตั้งแต่ร้อยละ 40 แต่ไม่ถึงร้อยละ 80 จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 1% โดยส่วนลดดอกเบี้ยที่คำนวณได้จะถูกนำไปตัดเงินต้นในเดือนมกราคม 2565 ซึ่งจะทำให้หมดหนี้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ มาตรการช่วยเหลือในช่วง 6 เดือนข้างหน้านี้จะมีผลอัตโนมัติกับลูกหนี้ทุกรายและลูกหนี้ใหม่ในโครงการโดยไม่ต้องลงทะเบียนโดยที่ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ต่อเนื่อง สำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ในช่วงนี้ ท่านสามารถขอผ่อนผันการชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขของโครงการ สำหรับท่านที่อยู่ในกลุ่มนี้ขอให้ติดต่อโครงการเพื่อสอบถามรายละเอียด ซึ่งผลการพิจารณาผ่อนผันขึ้นกับดุลพินิจของโครงการ
นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการคลินิกแก้หนี้ยังเห็นชอบให้ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การสมัครเข้าโครงการ 2 ประการ คือ ประการแรก เกณฑ์ด้านอายุ จากเดิมไม่เกิน 65 ปี เป็นไม่เกิน 70 ปี (เมื่อรวมระยะเวลาการปรับโครงสร้างหนี้) และประการที่ 2 ปรับอัตราดอกเบี้ยจากเดิมร้อยละ 4-7 เป็นอัตราเดียวที่ร้อยละ 5 ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยในโครงการ การปรับหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะช่วยขยายความช่วยเหลือให้ลูกหนี้และช่วยให้การดำเนินการเร็วขึ้น โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป
ผลการดำเนินงานของโครงการคลินิกแก้หนี้สิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2564 มีลูกหนี้เข้าโครงการรวม 60,578 บัญชี ภาระหนี้เงินต้น 4,670 ล้านบาท โดยเฉลี่ยลูกหนี้ 1 ราย มีเจ้าหนี้ 3 ราย เฉลี่ยเงินต้น 244,444 บาท
ทั้งนี้ ขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่มีปัญหาหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสดที่เป็นหนี้เสียให้รีบสมัครเข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ ซึ่งท่านที่สมัครในช่วงนี้ถึงสิ้นปี 2564 จะได้รับประโยชน์จากส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 1-2% ตามที่แจ้ง
นอกจากนี้ ประชาชนที่ได้สมัครมาที่โครงการและยังไม่ได้รับการติดต่อกลับ ขอความกรุณารออีกเล็กน้อย คลินิกแก้หนี้กำลังเร่งดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็มที่
ประเด็นที่จะขอย้ำ คือ หากมีผู้แอบอ้างว่าเป็นตัวแทน ธปท. สามารถช่วยเจรจาปรับโครงสร้างหนี้หรือเรื่องใดๆ และมีการเรียกเก็บค่าดำเนินการ กรณีดังกล่าวไม่เป็นความจริง หรือหากมีข้อสงสัยจากการถูกสอบถามข้อมูลส่วนตัวและภาระหนี้สิน สามารถแจ้งเรื่องหรือสอบถามได้ที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) โทร.1213 รวมทั้งสามารถติดตามการเปิดรับสมัคร และข่าวสารของโครงการคลินิกแก้หนี้ผ่านทาง Website LINE Facebook ของคลินิกแก้หนี้ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center คลินิกแก้หนี้ 0-2610-2266 หรือ 1443 เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 09.00-19.00 น.