xs
xsm
sm
md
lg

เฟรเซอร์สฯ ลุยฝ่าโควิด-19 ย้ำแผน 5 ปี ทุ่ม 1.7 หมื่นล้านบาท รับอสังหาฯ เพื่ออุตฯ บูม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายโสภณ ราชรักษา
"เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล" หวังเปิดประเทศดึงนักลงทุนต่างประเทศเข้าไทย พร้อมประกาศนำกลยุทธ์ ‘น่านน้ำสีม่วง’ ยกระดับอุตสาหกรรม รองรับอุตฯ อิเล็กทรอนิกส์-ยานยนต์อีวี เผยแผนเป้าหมาย 5 ปี หว่านเงินลงทุนรวม 12,500-17,500 ล้านบาท พัฒนาพื้นที่ใหม่เพื่อเสริมสร้างพอร์ตโฟลิโออีก 1 ล้าน ตร.ม. ขยายพอร์ตลงทุนต่างประเทศเพิ่มเติม

นายโสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ "FPIT" ผู้นำการให้บริการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมยุคใหม่ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” เปิดเผยถึงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระยะที่ผ่านมาว่า ถ้ามองผลกระทบก็พอมีสมควร แต่ภาพรวมเราพอได้ประโยชน์จากโควิด-19 แต่การจะได้รับอานิสงส์จากการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่ประเทศไทย ประเด็นสำคัญจะต้องเปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้าประเทศให้ได้ เนื่องจากการทำธุรกรรมต่างๆ นั้น นักลงทุนต่างชาติต้องเข้ามาสำรวจพื้นที่ต่างๆ ซึ่งอาจจะมีการติดขัดบ้างในเรื่องของการทำสัญญาหรือการขายพื้นที่

แต่ในส่วนธุรกิจเป้าหมายใหญ่ๆ ที่เราคาดหวังให้เกิดการเข้ามาลงทุนยังมองเรื่องอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ แม้ว่าภาพรวมธุรกิจยานยนต์อาจจะดูไม่ดี แต่จะเห็นหลายแบรนด์ขนาดใหญ่ ที่หันมามุ่งเรื่องรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (รถอีวี) ซึ่งเราจะเห็นคลื่นการลงทุนในอีวีเป็นจำนวนมาก

โดยธุรกิจการซื้อของผ่านอินเทอร์เน็ต (อี-คอมเมิร์ซ) นั้น ถือว่าเป็นธุรกิจที่เข้ามาสร้างสีสันให้แก่ธุรกิจคลังสินค้าอย่างมาก ทำให้เกิดความต้องการใช้คลังสินค้าของบริษัทฯเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้เมือง เช่น บางพลี และบางนา มีอัตราการเข้าใช้พื้นที่สูงถึง 90% ไปแล้ว

สำหรับทิศทางการลงทุนตามแผน 5 ปีนั้น นายโสภณ กล่าวว่า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ FPIT ได้กำหนดยุทธศาสตร์ไว้ 2 ด้าน คือ “เราพร้อม” (We are ready) และ “เราต่าง” (We are different) เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์น่านน้ำสีม่วง โดยการสร้างความพร้อม จะมุ่งการเพิ่มแปลงที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพเชิงอุตสาหกรรมเข้ามาในพอร์ตโฟลิโอ สานความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อต่อยอดด้านการให้บริการลูกค้าในรอบด้าน การปรับปรุงอาคารโรงงานและคลังสินค้าปัจจุบันให้มีความทันสมัย ภายใต้โครงการ AEI ขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศเพื่อสร้างความพร้อมในการให้บริการลูกค้าในทุกตลาด พัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล การนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอาคาร (Smart Building)

ในส่วนของ "การสร้างความแตกต่าง" ได้แก่ เดินหน้าพัฒนาอสังหาฯ ทางด้านอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ ย่อขนาดพื้นที่โลจิสติกส์เข้าสู่ในเมือง และในขณะเดียวกัน เตรียมการออกแบบเพื่อขยายขนาดการพัฒนาพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น โครงการเมืองอุตสาหกรรม ที่เป็นการรวมอสังหาริมทรัพย์หลายประเภทเข้าไว้ในพื้นที่พัฒนาเดียวกัน เช่น แปลงบนถนนบางนา-ตราด กม.32 บนเนื้อที่ 4,700 ไร่ ที่ประมูลได้จากกรมบังคับคดีเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา การให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนโดยรอบและพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างทางเลือกใหม่ในการให้บริการพื้นที่อาคารอุตสาหกรรม เช่น รูปแบบ Co-Warehousing หรือ Flexible Space เพื่อรองรับความต้องการพื้นที่จัดเก็บที่มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น

และจากการหาน่านน้ำแห่งใหม่นี้ จะสะท้อนออกมาสู่เป้าหมายของแผนการดำเนินงานในช่วง 5 ปีข้างหน้า ได้แก่ 1.กำหนดเป้าหมายรายได้ในแต่ละปีเติบโตได้ประมาณ 10-15% 2.กำหนดอัตราการเช่าจะสามารถรักษาระดับการเช่าอยู่ระดับ 85-90% ต่อปี 3.กำหนดการพัฒนาใหม่ๆ เพื่อเสริมสร้างพอร์ตโฟลิโอในแต่ละปีประมาณ 1.5-2 แสนตารางเมตร (ตร.ม.) หรือเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้าน ตร.ม. ส่วนใหญ่จะเป็นการสร้างพอร์ต Build-to-Suit หรือ BTS หรือการสร้างคลังสินค้าที่สร้างตามความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของลูกค้า เนื่องจากตลาดยังมีความต้องการต่อเนื่อง ปัจจุบัน บริษัทมีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการทั้งสิ้นรวมกว่า 3 ล้าน ตร.ม. และ 4.กำหนดเป้าหมายการลงทุนในช่วง 5 ปีอยู่ที่ 12,500-17,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 2,500-3,500 ล้านบาท

ด้านการลงทุนในต่างประเทศนั้นมีอยู่ 2 แห่งที่ดำเนินการอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ลงทุนประเทศอินโดนีเซีย และประเทศล่าสุด คือ เวียดนาม ที่เข้าไปลงทุนจัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาเป็นเขตอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์พาร์ก บนเนื้อที่ 300 ไร่ คาดจะเริ่มก่อสร้างภายในสิ้นปี 2564 ซึ่งในส่วนของรายได้จากตลาดต่างประเทศนั้นจะแตกต่างตามสัดส่วนการลงทุน เช่น ที่อินโดนีเซีย บริษัทลงทุน 25% แต่ในเวียดนามลงทุน 100% คาดว่าในปี 2565 จะมีผลรายได้กลับคืนมาในระยะแรกประมาณ 5%


กำลังโหลดความคิดเห็น