โบรกเกอร์ประเมินเฟดขายพันธบัตรกลับคืนสู่ตลาด (Reverse Repo) จำนวน 4.85 แสนล้านดออล์ มากสุดเป็นประวัติการณ์ กระทบหุ้นไทยแค่ช่วงสั้น ไม่เท่าปี 56 เหตุรอบนี้ต่างชาติถือหุ้นไทยต่ำ แรงขายจำกัด และ SET ยัง Laggard หุ้นสหรัฐฯ อยู่มาก มองหาก SET Index ย่อตัวลึกเป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานดี แนะนำหุ้นธนาคาร อย่าง KBANK หุ้นเปิดเมือง MINT - MAJOR - AOT - BDMS
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (ASPS) เปิดเผยว่า ข่าวที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขายพันธบัตรกลับคืนสู่ตลาดมากสุดเป็นประวัติการณ์ ว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดทุนทั่วโลกและตลาดทุนไทยมากน้อยแค่ไหน อย่างไร เพราะหากพิจารณาเศรษฐกิจสหรัฐฯ นับตั้งแต่ต้นปี พบว่า การที่สหรัฐฯ เร่งเดินหน้าฉีดวัคซีนล่าสุด ราว 50% ของประชากร และแรงหนุนจากมาตรการคลังสหรัฐฯ ที่มีต่อเนื่อง ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้เร็วเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
ทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น สะท้อนจาก Core PCE Inflation เดือน เม.ย. ล่าสุดรายงานวันศุกร์ออกมาอยู่ที่ 3.1%yoy สูงสุดตั้งแต่ปี 24 หรือรอบ 40 ปี (เป้าหมายเงินเฟ้อที่เฟดวางไว้ที่ +-2%) อัตราการว่างงาน ล่าสุด 6.1% ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 63 แต่ยังสูงกว่าก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ที่อยู่ระดับ 3.4%
โดยรวมทำให้ตลาดหุ้นเริ่มมีมุมมองเฟดจะกลับมาใช้นโยบายการเงินตึงตัว และดึงสภาพคล่องออกจากระบบมากขึ้น และล่าสุด สำนักข่าว Bloomberg ในช่วงสุดสัปดาห์ จุดกระแส Fed ได้เริ่มดึงสภาพคล่องออกจากระบบ ผ่านการขายพันธบัตรกลับคืนสู่ตลาด (Reverse Repo) ข้อมูลล่าสุด 27 พ.ค.64 มูลค่ารวม 4.853 แสนล้านดอลลาร์ (All Time high)
ทั้งนี้ หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในปี 63 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อัดฉีดเงิน คือ เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล (QE) เริ่มนับตั้งแต่งวด Q1/63 และต่อเนื่องถึงปัจจุบัน และมีส่วนหนุนสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้นปรับขึ้นมา ดังนั้น การเร่งทำ Reverse Repo ที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นจะกลับมาเริ่มพูดถึงโอกาสที่เฟดจะเริ่มลดวงเงินอัดฉีดสภาพคล่องลง หรือ QE tapering
ประเมิน QE Tapering อาจจะเริ่มเร็ว แต่กระทบหุ้นไทยระยะสั้น
ASPS ติดตามวิธีการและช่วงเวลาจะเกิดขึ้นในระยะถัดไปเมื่อไหร่ เดิมคาดว่า QE Tapering อาจจะเริ่มเร็ว สุดคือ Q1/65 แต่จากกระแสอาจจะเร็วขึ้น เช่น Q4/64
โดยการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวของเฟดน่าจะสร้างความผันผวนให้ตลาดหุ้นโดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น แต่เชื่อว่าจะเป็นโอกาสในการสะสม เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันแต่ต่างจากช่วงที่เกิด Tapering QE ในอดีต กลางปี 56 คือ
1.สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อน Tapering QE กลางปี 56 มาก ก่อนการเกิด Tapering QE ทาง Fund Flow ไหลเข้าหุ้นไทยต่อเนื่อง 5 ปี ด้วย ปริมาณสูงถึง 2.8 แสนล้านบาท หนุนต่างชาติมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยโดยตรงสูงถึง 27.8% แต่ในปี 63 ถึงปัจจุบัน ปัญหาโควิด-19 กดดันต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นไทย 3.3 แสนล้านบาท จนทำให้ล่าสุดสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยโดยตรงลดลงมาอยู่ในระดับต่ำมากเพียง 21.2% ทำให้แรงขายน่าจะจำกัดมากขึ้น
2.SET Index ปัจจุบันยัง Laggard ตลาดหุ้นสหรัฐมาก คือ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของ SET Index ก่อน Tapering QE 5 ปี เพิ่มขึ้นถึง 270% Outperform กว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) ที่เพิ่มขึ้น 89% แต่ในปี 63 ถึงปัจจุบัน SET Index เผชิญกับปัญหาโควิด-19 ยัง Underperform โดยขึ้นมาเพียง 0.1% ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำจุดสูงสุดต่อเนื่องเพิ่มขึ้นขึ้น 30.1% ในช่วงเวลาเดียวกัน
สรุปคือ นโยบายการเงินแบบตึงตัวของเฟดน่าจะกดดันตลาดหุ้นไทยเพียงช่วงสั้นๆ เนื่องจากทั้งปริมาณเม็ดเงิน Fund Flow ในระบบที่เหลือน้อย และตลาดหุ้นไทยยังขึ้นมาไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศสหรัฐฯ ที่ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ได้แล้ว ในทางตรงกันข้ามปัจจุบันเริ่มเห็นการ Recovery ของเศรษฐกิจ จากการเร่งกระจายวัคซีน น่าจะช่วยหนุนให้ Fund Flow มีโอกาสกลับมาสะสมหุ้นไทยมากขึ้นในช่วงที่ย่อตัว
ดังนั้น หาก SET Index ย่อตัวลึกจากประเด็นดังกล่าวน่าจะเป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานดีที่ได้แรงหนุนจากสภาพคล่องในระบบลดน้อยลง อย่างหุ้นธนาคาร อย่าง KBANK หุ้นเปิดเมือง ชอบ MINT - MAJOR - AOT - BDMS