ซีคอนโฮมฯ เปิดตัว “SC Grand รับสร้างบ้าน” บริษัทน้องใหม่ในเครือ SEACON ตอกย้ำความเชี่ยวชาญด้านการสร้างบ้านและทีมงานมากประสบการณ์ พร้อมตั้ง “ธีรพงศ์ นคราวงศ์” นั่ง MD เปิดกลยุทธ์ความแตกต่าง ตอบรับรายละเอียดของการใช้ชีวิตที่เหนือกว่า ด้วยแนวคิด “Smart Vision - Smart Living” ชูจุดขายรับสร้างบ้าน Intelligent Home รายแรก หวังปั้นยอดขายโต 500 ล้านบาทต่อปี ภายใน 5 ปีแรก
รายงานข่าวจาก บริษัท ซีคอนโฮม จำกัด ผู้ให้บริการรับสร้างบ้าน เปิดเผยวว่า เพื่อเป็นการตอกย้ำความเชี่ยวชาญด้านการสร้างบ้านและทีมงานมากประสบการณ์กว่า 60 ปี ในธุรกิจรับสร้างบ้าน “กอบชัย ซอโสตถิกุล” ผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านรายแรกของประเทศไทย และ “ไปรเทพ ซอโสตถิกุล” ประธานกรรมการบริหารฯ ได้เปิดตัวแบรนด์ “SC Grand รับสร้างบ้าน” ในนาม บริษัท เอส ซี แกรนด์ จำกัด บริษัทน้องใหม่ในเครือ SEACON โดยมีนายธีรพงศ์ นคราวงศ์ อดีตผู้บริหาร บริษัท ซีคอน รับสร้างบ้าน รับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ
“โดยจากนี้ไปกลยุทธ์เน้นความแตกต่าง โดยคำนึงถึงรายละเอียดของการใช้ชีวิตที่เหนือกว่า คือ กลยุทธ์ ด้วยแนวคิด “Smart Vision - Smart Living” บุกตลาด เตรียมผงาดขึ้นแท่นเป็นแถวหน้าแห่งวงการรับสร้างบ้านที่น่าจับตามอง โดยมีจุดขายเป็นบริษัทรับสร้างบ้าน Intelligent Home รายแรก หวังปั้นยอดขายโต 500 ล้านบาทต่อปี ภายใน 5 ปีแรก”
จากการเล็งเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในอนาคต SC Grand จึงพัฒนาและต่อยอดวงการรับสร้างบ้านด้วยคำว่า ‘ชีวิตอันชาญฉลาด’ เพื่อมอบความพึงพอใจ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ สะดวกสบาย อนุรักษ์พลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยี Smart Device เข้ากับตัวบ้าน เช่น ระบบการเก็บข้อมูล NAS System อุปกรณ์ Smart Device และระบบ Home Automation เพื่อให้ ‘บ้านมั่นคง อยู่สบาย และประหยัดพลังงาน’ เช่น การใช้กระจก Energy Green Glass ชนิดพิเศษ การเลือกใช้ผนังภายนอกกันร้อนที่หนากว่าการสร้างบ้านทั่วไป การเสริมฉนวนกันความร้อนเป็นพิเศษทั้งใต้แผ่นหลังคาและบนฝ้า การเตรียมพร้อมสำหรับระบบ Solar Cell และเครื่อง EV Charger รองรับรถยนต์ระบบไฟฟ้าในอนาคต โดยทาง SC Grand มีแบบบ้านให้เลือกสั่งสร้างตั้งแต่ 3-25 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัท เอส ซี แกรนด์ ตั้งเป้ายอดขาย 3 ระยะ โดยคาดสร้างยอดขายเติบโตในปีแรกเริ่มต้น 100 ล้านบาท ระยะกลาง 3 ปี เป็น 300 ล้านบาท/ปี และในระยะยาวยอดขายเติบโตภายใน 5 ปี เป็น 500 ล้านบาท/ปี ผ่านกลยุทธ์ทางการตลาดที่เน้น Below the Line หรือการใช้ Social Network Marketing เป็นหลัก และในส่วน Above the Line จะใช้เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าถึงความเป็นมืออาชีพที่มุ่งมั่นในการทำธุรกิจอย่างจริงจัง


