ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจหอการค้าไทย เผยดัชนีเชื่อมั่นเดือน มี.ค.ลดแตะ 48.5 จากปัญหาโควิด-19 ส่งผลให้บริโภคลด แถมงดกิจกรรมสงกรานต์อีก ระบุโควิด-19 ระลอกใหม่สายพันธุ์อังกฤษ หากคลี่คลายได้ใน 1-2 เดือน เม็ดเงินเศรษฐกิจจะหายไปร้อยละ 5-10
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนมีนาคม 2564 พบว่า ดัชนีกลับมาลดลงอีกครั้งหลังจากฟื้นตัวเป็นบวกได้ในเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีความเชื่อมั่นในเดือนมีนาคมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 48.5 เนื่องจากมีความกังวลในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการประกาศงดกิจกรรมสงกรานต์ของ ศบค. การฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนที่ล่าช้าส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว แม้ว่าจะมีมาตรการของรัฐบาลเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะโครงการ “เราชนะ” และโครงการต่างๆ ช่วยเพิ่มกำลังซื้อ
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 42.5 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำอยู่ที่ระดับ 45.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 57.7 โดยปรับตัวลดลงทุกรายการ และคงต้องติดตามการแพร่กระจายของโควิด-19 ระลอกใหม่ว่าจะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน รุนแรงเพียงใด และรัฐบาลจะมีมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างไร รวมถึงจะมีการ Lockdown ในจังหวัดต่างๆ หรือไม่ ซึ่งจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคตได้ และอาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 3.0 ได้
ทั้งนี้ การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ผ่านสถานบันเทิงซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่มาจากอังกฤษที่แพร่กระจายได้รวดเร็วขึ้นนั้น ส่งผลกับความมั่นใจและกำลังซื้อของประชาชนทำให้มีความวิตกกังวลต่อการใช้จ่ายและการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยจะทำให้เม็ดเงินจากการบริโภคของประชาชนหายไปร้อยละ 5-10 หรือ อยู่ที่ประมาณ 30,000-50,000 ล้านบาทต่อเดือน โดยทางศูนย์พยากรณ์ฯ ประเมินว่าการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่จะสามารถคลี่คลายได้ภายใน 1-2 เดือน ส่งผลทำให้เม็ดเงินหายออกไปจากระบบเศรษฐกิจประมาณ 60,000-100,000 ล้านบาท หรือ กระทบต่อ GDP ร้อยละ 0.3-0.5 โดยยังมีปัจจัยหนุนการส่งออกที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นหลังจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ในขณะที่การค้าชายแดนยังคงทำการค้าได้ จึงยังคงประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้ไว้ในกรอบเดิมที่ร้อยละ 2.5-3.0 ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องไม่มีการประกาศล็อกดาวน์ประเทศและห้ามการเดินทางในประเทศเป็นสำคัญ