xs
xsm
sm
md
lg

ดาวโจนส์นิวไฮ...หุ้นไทยย่ำต๊อก / สุนันท์ ศรีจันทรา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งทะยานอย่างสดใส สร้างจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ผ่าน 32,778.64 จุดแล้ว และไม่มีทีท่าจะหยุดวิ่ง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยวิ่งๆ หยุดๆ และยังไม่สามารถขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,600 จุด ก่อนการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อต้นปี 2563 ได้

สภาผู้แทนสหรัฐฯ เพิ่งอนุมัติร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และถือเป็นข่าวดีที่นักลงทุนรอคอยจนเกิดการไล่ซื้อหุ้น ผลักดันให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาพุ่งขึ้น 293.05 ล้านบาท

ก่อนเกิดวิกฤต “โควิด-19” ดัชนีฯ ดาวโจนส์ยืนอยู่ที่ระดับประมาณ 29,300 จุดเศษ และทรุดหนักจนลงไปแตะที่ระดับ 18,000 จุดเศษ หลังจากนั้นดีดตัวขึ้นต่อเนื่อง จนสร้างจุดสูงสุดใหม่เป็นรายวัน

ส่วนดัชนีหุ้นไทยยืนที่ระดับ 1,600 จุด ก่อนเกิดวิกฤต “โควิด-19” และไม่เคยขึ้นไปสัมผัสระดับ 1,600 จุดอีกเลย โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ระหว่างชั่วโมงซื้อขายดัชนีหุ้นขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่หลังวิกฤต “โควิด-19” ที่ระดับ 1,584.40 จุด แต่อ่อนตัวลงมาปิดที่ระดับ 1,568.19 จุด

นอกเหนือจากผลกระทบ "โควิด-19" แล้ว การที่ตลาดหุ้นไทยโงหัวไม่ขึ้น เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นติดต่อหลายปี และยังไม่ได้กลับมาซื้ออย่างจริงจัง แต่บริษัทโบรกเกอร์คาดการณ์ว่าปีนี้ต่างชาติจะทยอยกลับมาลงทุน และอาจจะเห็นเม็ดเงินอย่างชัดเจนในครึ่งปีหลัง

ส่วนดัชนีหุ้นปลายปีนี้ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ประเมินว่าจะยืนเหนือ 1,600 จุด โดยหลายสำนักมองว่าจะฟื้นขึ้นมาระดับ 1,650 จุด

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นตลาดหุ้นยังไม่มีทิศทางที่จัดเจน ไม่ตอบรับการพุ่งทะยานของดัชนีดาวโจนส์มากนัก โดยอาจยังกังวลในแนวต้านระดับ 1,600 จุดอยู่ จึงมีแรงขายทำกำไรเมื่อใกล้แนวต้าน โดยเฉพาะแรงขายทำกำไรจากนักลงทุนรายย่อย

นอกจากนั้น การที่หุ้นวันศุกร์พลิกผัน เนื่องจากผลกระทบจิตวิทยา การที่นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เลื่อนการฉีดวัคซีนของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า หลังยุโรประงับการฉีดวัคซีน แอสตร้าเซนเนก้าชั่วคราว เมื่อพบผลกระทบข้างเคียง

ตลาดหลักทรัพย์เพิ่งแถลงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปี 2563 โดยมีกำไรสุทธิ 420,836 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 866,133 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบ “โควิด-19”

ผลกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ลดลง ทำให้ค่าพี/อี เรโชเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์พุ่งขึ้นกว่า 40 เท่า ซึ่งเป็นอัตราค่าพี/อี เรโช ที่สูงมาก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านย่านเอเชีย และอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังไม่ขนเงินกลับมาไล่ซื้อหุ้น

ส่วนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ คาดว่าจะกระเตื้องขึ้น ซึ่งจะกดให้ค่าพี/อี เรโช เฉลี่ยตลาดหุ้นไทยลดลง และสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติมากขึ้น

แนวโน้มตลาดหุ้นปีนี้สดใสขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนจาก “วัคซีน” ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวฟื้นตัวเร็วขึ้น เพียงแต่ระยะสั้น อาจมีความแปรปรวน เพราะผลกระทบจากการฉีดวัคซีนที่มีผลข้างเคียง และการระแพร่ระบาดใหม่ภายในประเทศยังไม่หยุดนิ่ง

แต่โดยรวมแล้วตลาดเริ่มกลับสู่ขาขึ้น และมีลักษณะแกว่งตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยระยะสั้นมีโอกาสได้ลุ้นดัชนีหุ้น 1,600 จุด เหมือนกัน

จุดสูงสุดเดิมก่อนวิกฤต “โควิด-19” แม้จะมาช้าไปหน่อย แต่ในระยะเวลาอันใกล้ ดัชนีหุ้นคงได้กลับไปที่ 1,600 จุด นักลงทุนอดใจรออีกนิดเท่านั้น








กำลังโหลดความคิดเห็น