การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงปีที่ผ่านมา และต่อเนื่องถึงปัจจุบัน แรงบีบที่เร่งให้ผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ เรียลเซกเตอร์หนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายประเทศจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันและกระชับแผนธุรกิจให้เกิดการขับเคลื่อนต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ภายใต้สภาพแวดล้อมทั้งในประเทศและต่างประเทศที่แตกต่างและเปลี่ยนแปลงไป
บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนขนาดใหญ่หลายแห่งได้เร่งจัดกระบวนทัพทางธุรกิจ ปรับโครงสร้างองค์กร และวางยุทธศาสตร์ในการเดินหน้าต่อของธุรกิจ กับการ "แสวงหา" โอกาสและตลาดใหม่ที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางธุรกิจ รายได้ และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น เพราะนั่น จะเป็น "ดัชนี" ชี้ถึงคุณภาพและประสิทธิภาพ ของการเป็น "ผู้นำ" ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างคุณค่าและความยั่งยืน
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) "S" หนึ่งในบริษัทของเครือบุญรอดบริวเวอรี่ ตลอดช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ก้าวเดินพร้อมไปกับการวางรากฐานที่มั่นคง เพื่อสู่พันธกิจการเป็นผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบโฮลดิ้งคอมพานี มีธุรกิจที่หลากหลาย
วันนี้ บมจ.สิงห์ เอสเตท จำกัด บริษัทผู้พัฒนาและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ประกาศว่า บริษัทฯ กำลังเดินหน้าแผนเชิงกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ เพื่อเติมเต็มและเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ โดยเตรียมรุกเข้าสู่ธุรกิจพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ธุรกิจให้บริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ
นั่นคือ วิชัน ที่จะก้าวกระโดดไปสู่ธุรกิจใหม่ ภายใต้สถานการณ์ที่เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และความมั่นใจของผู้บริโภค กับการที่หลายประเทศทั่วโลกเริ่มเข้าสู่กระบวนการฉีดวัคซีน
ก้าวสำคัญของ "สิงห์ เอสเตท"
"ปีนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่เรากำลังเข้าสู่เฟสต่อไปของการพัฒนาธุรกิจของสิงห์ เอสเตท โดยเราจะเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่จะมาต่อยอดและเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อนำสิงห์ เอสเตทก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในธุรกิจแถวหน้าของประเทศไทย ที่ผนึกกำลังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด และสร้างผลตอบแทนที่ดี" นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจที่จะก้าวเดินหน้าไปข้างหน้า
โดยในช่วงที่ผ่านมา เราให้ความสำคัญกับการนำบริษัทเดินทางจากจุดเริ่มต้นในฐานะบริษัทของครอบครัว ที่บริหารจัดการสินทรัพย์และดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล มาสู่การเป็นบริษัทมหาชนที่มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ มีสินทรัพย์อยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย กระจายอยู่ในหลายภูมิภาค สำหรับตอนนี้เมื่อเรามองไปที่เส้นทางข้างหน้า เราเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานที่มั่นทางธุรกิจของสิงห์ เอสเตท ในขณะเดียวกัน เรายังเดินหน้ามองหาโอกาสที่จะสร้างการเติบโตใหม่ๆ ในระดับโลกไปพร้อมกันด้วย
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตทฯ กล่าวว่า สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ขึ้น 3 เท่าตัว ให้กลายเป็นประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี ภายในระยะเวลา 3 ปี พร้อมกับสร้างธุรกิจให้มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้น จาก 65,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 ไปเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสินทรัพย์ 80,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 และในขณะเดียวกัน ก็ตั้งเป้าเพิ่มอัตราผลกำไรในการทำธุรกิจด้วย
"การพัฒนาโครงการขนาดยักษ์หลากหลายโครงการในประเทศไทย และการเดินหน้าบูรณาการธุรกิจต่างๆ ของสิงห์ เอสเตท ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยผนึกกำลังธุรกิจโรงแรม ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม เข้ากับธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจให้บริการด้านนวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ จะสร้างความได้เปรียบเชิงธุรกิจให้แก่สิงห์ เอสเตท ได้อย่างมหาศาล และเพิ่มความสามารถในการคว้าโอกาสทางธุรกิจใหญ่ๆ ที่กำลังจะมีเข้ามา" นางฐิติมา กล่าว
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งยืนยันการตัดสินใจที่ถูกต้องของบริษัทฯ ในการวางโครงสร้างธุรกิจเป็น 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน เพื่อจะทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากจะคาดเดา ทั้งในประเทศและทั่วโลก
ในปี 2563 ที่ผ่านมา 3 กลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจโครงการที่พักอาศัย และธุรกิจรีสอร์ตและโรงแรม ทำรายได้คิดเป็นสัดส่วน 96% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทฯ
"เราหวังว่าจากนี้เป็นต้นไปกลุ่มธุรกิจที่ 4 จะเป็นธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มและต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแกนหลักมาแต่เดิม และจะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทฯ ได้อย่างมากมาย" นางฐิติมา กล่าว
ทั้งนี้ ด้วยแนวทางการเดินหน้า 4 กลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท จะทำให้เรามีจุดโดดเด่นที่แตกต่าง และทำให้เราเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องได้มากกว่า นอกจากนี้ ยังจะช่วยให้เรามีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น จากการเติมเต็มซึ่งกันและกันของกลุ่มธุรกิจต่างๆ การใช้ทรัพยากรร่วมกัน และการบูรณาการธุรกิจ พร้อมกันนี้ ก็จะช่วยให้เรามีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น จากการที่ธุรกิจในเครือมีวงจรทางธุรกิจที่แตกต่างกัน มีรูปแบบความเสี่ยงไม่เหมือนกัน และเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอ
"ด้วยความแข็งแกร่งทางการเงินของเรา จากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของเราที่ต่ำ อยู่ที่ 0.96 เท่า ประกอบกับการมีเครดิตดี สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อีก 25,000 ล้านบาท ทำให้เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่เราจะเดินหน้ากลุ่มธุรกิจที่ 4 ของเรา" นางฐิติมา กล่าว
อนึ่ง ตัวเลขงบการเงินที่สำคัญ ณ สิ้นปี 2563 บริษัทฯมีสินทรัพย์เติบโตสู่ระดับกว่า 65,112 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 17,283.73 ล้านบาท และ ณ วันที่ 1 มีนาคม 2564 มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงถึง 11,514.25 ล้านบาท
นางฐิติมา ยังเปิดเผยด้วยว่า สิงห์ เอสเตท กำลังศึกษาแนวคิดและวิธีใหม่ๆ ระดับโลกนำมาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ (Resilient Business)
ทั้งนี้ สิงห์ เอสเตท มีเป้าหมายที่จะแสวงหาความร่วมมือทั้งภายในประเทศและระดับโลก เพื่อสร้างความเชี่ยวชาญที่มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งความสามารถในการแข่งขัน และช่วยขยายฐานธุรกิจในต่างประเทศให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
"พันธกิจที่ต้องดำเนินการ คือ ต้องนำธุรกิจให้เดินหน้าในเฟสต่อไปนี้ให้ได้ตามเป้าหมายใหญ่ของธุรกิจ คือ จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ คือ การเพิ่มรายได้ 3 เท่าภายใน 3 ปี ที่สำคัญคือ ต้องเพิ่มผลกำไรในธุรกิจด้วย และต้องทำอย่างมั่นคง"
โดย 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ของสิงห์ เอสเตท ซึ่งประกอบด้วย พื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวม 140,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) สร้างรายได้ให้แก่บริษัทฯ ประมาณ 15% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2563 นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีโรงแรมและรีสอร์ต 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ ซึ่งมีห้องพักรวมกัน 4,647 ห้อง สร้างรายได้ให้แก่บริษัทฯ ประมาณ 24% ของรายได้ทั้งหมด และมีโครงการที่พักอาศัย 23 โครงการ ประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยแนวราบ และคอนโดมิเนียม เช่น แบรนด์สันติบุรี The ESSE และแบรนด์อื่นๆ ซึ่งสร้างรายได้ให้แก่บริษัทฯ ประมาณ 57% ของรายได้ทั้งหมด
เสริมรากฐานธุรกิจให้มั่นคง รับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
นางฐิติมา กล่าวให้ความเห็นต่อปัจจัยที่จะส่งเสริมการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ว่า ความเชื่อมั่นเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ แต่ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง แต่ทั้งนี้ สถานการณ์ทั้งในประเทศ และทั่วโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า สถานการณ์หลายอย่างอยู่เหนือความคาดหมาย และอยู่เหนือการควบคุม ดังนั้น แทนที่จะปล่อยให้ปัจจัยภายนอกมีอิทธิพลควบคุมธุรกิจของเรา เราจะต้องพยายามพึ่งพาสิ่งที่เราควบคุมได้ นั่นคือ สาเหตุที่เรากำลังเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ในการจัดทัพธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น มั่นคงมากขึ้น จาก 4 กลุ่มธุรกิจที่จะส่งเสริมซึ่งกันและกัน สร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ
สำหรับ บริษัท สิงห์ เอสเตทฯ เป็นบริษัทชั้นนำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุน มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม โดยยึดหลักปรัชญาการเติบโตอย่างยั่งยืน รักษาความสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สร้างการเติบโตด้วยพอร์ตการลงุทนที่มีความสมดุลและหลากหลายจากการพัฒนาธุรกิจพื้นที่ค้าปลีก พื้นที่สำนักงานให้เช่า ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจที่พักอาศัย มุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพสูงทั้งในและต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทลงทุน และโฮลดิ้งระดับโลกที่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และนำเสนอคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม