นายนริศ อารักษ์สกุลวงศ์ หัวหน้ากลยุทธ์องค์กร ธนาคารทหารไทย (TMB) เปิดเผยถึงแผนงานของธนาคารในปีนี้ว่า จะยังคงเดินหน้าในการควบรวมธุรกิจกับธนาคารธนชาตให้เสร็จสิ้นตามแผนที่กำหนดไว้ภายใน 18 เดือนหลังจากประกาศในช่วงปลายปี 2562 ซึ่งมีความคืบหน้าต่อเนื่อง และคาดว่าจะดำเนินการได้เสร็จสิ้นตามกำหนดในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ โดยในส่วนของสาขาได้มีการปรับลดในส่วนที่ซ้ำซ้อนกันเพื่อให้ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ โดยในปี 2563 ได้ปรับลดลง 163 สาขา และในปีนี้จะปรับลดอีก 100 สาขา รวมถึงจะมีการปรับปรุงแอปพลิเคชัน TMB TOUCH ให้สามารถรองรับธุรกรรมได้ครอบคลุมมากขึ้น เช่น การจ่ายค่างวดรถ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ได้ในปลายปีนี้ และการรีแบรนดิ้ง โดยล่าสุดที่ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯไปคือการรอขออนุมัติผู้ถือหุ้นในการเปลี่ยนชื่อธนาคาร เป็นธนาคารทีเอ็มบีธนชาต (TCB)
สำหรับเป้าหมายทางดำเนินธุรกิจในปีนี้ ธนาคารจะยังคงมุ่งเน้นช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างต่อเนื่องจากปีก่อน แม้ว่าขณะนี้ลูกค้าที่ยังขอเข้าโครงการจะลดลงมาที่ระดับ 15% แล้วก็ตาม รวมถึงการดูแลคุณภาพของหนี้ โดย ณ สิ้นปีก่อนธนาคารมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่ 2.5% แต่ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 3.6% ถือเป็นแนวโน้มจะเป็นขาขึ้น เนื่องจากโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการตามมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าจะหมดลงในเดือนมิถุนายนนี้อาจจะทำให้ลูกค้าบางส่วนตกชั้นมาอยู่ที่ Stage 3 และในสภาวะดังกล่าวอาจจะไม่เอื้อต่อการขายออกเพราะจะทำให้ราคาไม่ดี และตั้งเป้าหมายส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝากที่ 3% คงเดิม
ด้านเป้าหมายสินเชื่อและเงินฝากในปีนี้จะทรงตัวจากปีก่อน เนื่องจากธนาคารยังคงอยู่ระหว่างการควบรวมและมุ่งเน้นดูแลคุณภาพหนี้ในระยะนี้ แต่ไส้ในของสินเชื่อหลังจากควบรวมจะแตกต่างจากเดิมโดยจะมีสินเชื่อรายย่อยในสัดส่วนถึง 56% และ 90% เป็นสินเชื่อรายย่อยที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อบ้าน รถยนต์ เป็นต้น และในระยะต่อไปธนาคารจะเน้นในส่วนของสินเชื่อที่มีหลักประก้นเป็นหลัก ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอียังคงไม่เอื้อที่จะขยายเพิ่มในช่วงนี้