บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี หรือ STA สร้างการเติบโตอย่างโดดเด่นในปี 2563 ทำกำไรสุทธิ 9,531 ล้านบาท เติบโต 6,418% และมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 75,479 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% รับความต้องการใช้ถุงมือยางในตลาดโลก และการฟื้นตัวของราคาและดีมานด์ของยางธรรมชาติในช่วงปลายปี ด้านบอร์ดบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลอัตรา 1.75 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 12 เดือนเมษายนนี้
นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติครบวงจรอันดับ 1 ของโลก เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2563 สามารถสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงชะลอตัวจากภาวะโรคระบาด โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 9,531 ล้านบาท เติบโตอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนรายได้จากการขายและการให้บริการอยู่ที่ 75,479 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนที่ทำได้ 60,286 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2563 นับว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้าและอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยบริษัทฯ สามารถทำกำไรสุทธิ 5,499 ล้านบาท เติบโต 7,331% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายและการให้บริการอยู่ที่ 26,246 ล้านบาท เติบโต 76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 14,881 ล้านบาท
การเติบโตของผลการดำเนินงานดังกล่าวมาจากความต้องการใช้ยางในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศจีน หลังจากควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ได้ดี ส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ ทำให้มีความต้องการใช้ยางเพื่อการผลิตยางล้อ (รถ) เพิ่มขึ้น รวมถึงผลการดำเนินงานปี 2563 ของ บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงมือยางรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ STA สามารถทำสถิติสูงสุดใหม่
จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2563 ในอัตรา 1.75 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 2,688 ล้านบาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 12 เดือนเมษายนนี้ และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 29 เดือนเมษายน 2564 โดยเมื่อรวมกับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากงวดผลการดำเนินงาน 1 มกราคม-30 กันยายน 2563 ในอัตรา 0.50 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้บริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลในรอบปี 2563 อัตรารวม 2.25 บาทต่อหุ้น
“เรามั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้ เนื่องจากภาพรวมอุตสาหกรรมยางน่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นไปจะส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ยางธรรมชาติเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีความต้องการใช้เพื่อการผลิตยางล้อ และอุตสาหกรรมถุงมือยางที่มั่นใจว่าจะยังมีดีมานด์ที่แข็งแกร่ง จะเป็นปัจจัยสำคัญให้บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายการเติบโต” นายวีรสิทธิ์ กล่าว