บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เข้าเทรดวันแรกเปิดบวกกว่า 26.50 บาท เพิ่มขึ้น 8.50 บาท หรือ +47.22% จากราคาจองซื้อที่ 18.00 บาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคาเสนอขาย (IPO) ที่ 208,980 ล้านบาท กลายเป็นหุ้น IPO ที่มีมูลค่าสูงเป็นลำดับ 2 ของตลาดหุ้นไทย และจะกลายเป็นหุ้นที่ถูกจัดเข้าไปอยู่ในดัชนี SET50 และ SET100 ภายในระยะเวลา 3 วัน ด้วยเกณฑ์ Fast-track นับจากวันที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นวันแรก
น.ส.จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า วันนี้นับเป็นวันสำคัญของการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ทั้งสำหรับ OR และตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อหุ้น OR ซึ่งเป็นหุ้น IPO ที่มีการทำรายการจองซื้อหุ้นที่สูงที่สุดในตลาดทุนไทย ด้วยจำนวนกว่า 530,000 รายการ และจำนวนผู้จองซื้อกว่า 480,000 คน ได้เข้าทำการซื้อขายเป็นวันแรก การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยให้ OR สามารถรักษาสถานะความเป็นผู้นำและดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งใจไว้ คือ การเป็นแบรนด์ไทยชั้นนำระดับโลกที่สร้างคุณค่าให้แก่ชุมชนผ่านการดำเนินธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
"บริษัทฯ มีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน ขยายธุรกิจสำหรับการตลาดพาณิชย์ ลงทุนในคลังเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและศูนย์กระจายสินค้า ขยายเครือข่ายร้านค้าปลีก และลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และ/หรือชำระคืนเงินกู้ยืม (ถ้ามี) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกิจการของโออาร์ และบริษัทย่อย นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะต่อยอดความสำเร็จและความชำนาญสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลก ขณะเดียวกัน จากการที่บริษัทมีขนาดใหญ่และมีพอร์ตธุรกิจทั้งน้ำมันและค้าปลีก มีโอกาสเติบโตสูง ทำให้สามารถตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการทั้งหุ้นปันผลและหุ้นเติบโต”
วางโรดแมป 5 ปี เพิ่มสัดส่วน EBITDA ธุรกิจค้าปลีกเป็น 33%
ขณะที่แผนการลงทุน 5 ปี (2564-2568) บริษัทเตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 74,600 ล้านบาท โดยตั้งเป้าขยายสถานีบริการ PTT Station ปีละ 100 สาขาต่อปี และคาเฟ่อเมซอน ปีละ 400 สาขาต่อปี รวมถึงยังมองหาโอกาสทำ M&A และ JV เพื่อนำธุรกิจหรือบริการใหม่ๆ มาอยู่บนแพลตฟอร์ม โดยคาดว่าจะใช้งบส่วนนี้ราว 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทกำหนดเป้าหมาย 5 ปี ที่จะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของธุรกิจค้าปลีกจะเพิ่มสัดส่วนขึ้นมาอยู่ที่ 33% จากปัจจุบันที่ 25% และธุรกิจต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 13% จากปัจจุบันที่ราว 6-7% ส่วนธุรกิจน้ำมันเดิมที่มีสัดส่วน EBITDA สูงที่สุดก็จะปรับตัวลดลงเช่นกัน
กำหนดนโยบายปันผลสูงไม่น้อยกว่า 30%
สำหรับนโยบายการปันผลของ OR กำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิ แต่ทั้งนี้บริษัทอาจต้องประเมินผลการดำเนินงาน งบลงทุน ภาระเงินกู้ และปัจจัยต่างๆ อีกครั้งก่อนพิจารณาจ่ายปันผล รวมถึงต้องนำอัตราดังกล่าวมาเปรียบเปรียบกับบริษัทในเครือและบริษัทที่มีธุรกิจใกล้เคียงกันด้วย ซึ่งอัตราจ่ายปันผลของบริษัทเหล่านั้นสูงกว่า OR อยู่แล้ว
พร้อมรองรับรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่กำลังจะมาในอนาคตอันใกล้นี้
อย่างไรก็ดี สำหรับธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ปัจจุบัน OR มีบริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV parking station) จำนวน 25 แห่ง และมีแผนจะขยายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยมองเป็นโอกาสการเติบโตมากกว่าความเสี่ยง เพราะเมื่อคนมาใช้บริการสถานีชาร์จก็จะใช้บริการอื่นๆ ใน PTT Station ควบคู่ไปด้วย จึงเป็นโอกาสให้ธุรกิจค้าปลีกยังเติบโตได้
ขณะเดียวกัน ในส่วนของนักลงทุนรายย่อยซึ่งกระจายตัวกันถือหุ้น OR กว่า 5.3 แสนรายนั้น ได้มีการรวมตัวกันตั้งกลุ่มเฟซบุ๊กปิด (Private Group) ชื่อว่า “รวมพลคนถือหุ้น OR” ซึ่งเป็นกลุ่มที่รวมพลคนถือหุ้น บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR ) โดยระบุว่า เน้นระยะยาว ไม่ขาย และต่อสู้กับเจ้ามือ ไม่หวั่นแม้จะโดนทุบ โดยจะใช้เป็นพื้นที่พูดคุย แบ่งปัน แลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารหุ้น OR และติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ โดยล่าสุดมีสมาชิกเข้าร่วมกลุ่มแล้วกว่า 1.4 หมื่นคน ถือเป็นกระแสการตื่นตัวของผู้ถือหุ้นรายย่อยในการรวมตัวเพื่อที่จะดูแลปกป้องพิทักษ์สิทธิผู้ถือหุ้น และต่อสู้กับเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับหุ้น Gamestop ในอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้
ขณะที่โบรกฯ ได้ให้มุมมองต่อการลงทุนของหุ้น OR โดย บล.เอเซีย พลัส คาดว่าในปีนี้ OR จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 41.2% เมื่อเทียบปี 63 ขณะที่ภาพระยะยาวตั้งแต่ปี 64-67 จะมีกำไรเติบโตเฉลี่ย CAGR ที่ 16.7% ต่อปี โดยใช้ปี 63 เป็นปีฐาน ส่วนปี 65 จะมีกำไรเติบโต 16.7% มาอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท และปี 66 กำไรโต 5.8% มาอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ปี 67 กำไรโต 6.4% มาอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
ด้าน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า Flagship ของกลุ่ม ปตท. ในธุรกิจน้ำมันและธุรกิจค้าปลีก โดยยอดขายน้ำมันของ OR เติบโตสม่ำเสมอ +2.3%CAGR และรักษาตำแหน่งผู้นำด้วยส่วนแบ่งตลาดราว 39-42% ไว้ได้ต่อเนื่อง คาดกำไรปี 64 จะอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท หรือ EPS 0.92 บาท (Fully Diluted) ซึ่งกลับมาเติบโตสูงจากฐานต่ำ ภายใต้สมมติฐานว่ากำไรของธุรกิจน้ำมันกลับมา 90% ของปีปกติ ไม่มีรายการพิเศษ และกำไรของธุรกิจ Non-Oil เติบโต 15%
ขณะที่ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า ในปี 63 OR มี EBITDA จากธุรกิจน้ำมันค้าปลีก 61% และบริษัทได้ขยายไปทำธุรกิจค้าปลีกที่ไม่ใช้น้ำมันด้วย ซึ่งส่วนนี้มี EBITDA 26% โดยธุรกิจไม่ใช่น้ำมันจะมีบทบาทใน OR เพิ่มขึ้นและเป็นหลักที่หนุนการเติบโตของกำไรสุทธิ เพราะเป็นธุรกิจที่ให้ EBITDA margin สูงกว่าธุรกิจน้ำมันค้าปลีก รวมทั้งมีความเสถียรของรายได้ & กำไรมากกว่า ซึ่งคาดว่าการเติบโตของธุรกิจน้ำมันค้าปลีกจะอยู่ที่ 2-3% ต่อปี ขณะที่รายได้ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันจะขยายตัวสูงกว่าที่ 10-15% ต่อปี โดยคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิในช่วงปี 63-68 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 14%