การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ในช่วงต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศอย่างหนัก หลังมีการประกาศล็อกดาวน์ประเทศไทย สิ่งที่ตามมา คือ การชะลอตัวของธุรกิจต่างๆ รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการหายไปของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ขณะเดียวกัน ก็ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค เนื่องจากในธุรกิจต่างๆ มีการลดเวลาในการจ้างงาน ลดปริมาณพนักงาน รวมไปถึงการปรับลดเงินเดือน
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้สถาบันการเงิน เข้มงวดการพิจารณาปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้นโดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในตลาดระดับล่าง กลุ่มราคา 1-3 ล้านบาท เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้างงานและการปรับลดรายเงินเดือน และการลดเวลาในการทำงานลง นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สถาบันการเงินต่างๆ มีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่ออย่างมาก เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง โดยเฉพาะเมื่อนับรวมกับปัจจัยลบจากการประกาศมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ LTV
จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาบริษัทอสังหาฯ ทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทที่อยู่นอกตลาดมีการชะลอการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโด อาคารสูง รวมถึงโครงการบ้านจัดสรรลดลงเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ สถานการณ์การหดตัวอย่างรุนแรงในตลาดอสังหาฯ ในปีที่ผ่านมาส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ วัสดุก่อสร้าง สินค้าตกแงบ้าน และธุรกิจสีทาอาคารชะลอลดลงตามไปด้วย
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปี 2563 ทำให้บริษัทสีทาอาคาร ทั้งรายใหญ่รายเล็กมีการปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ตลาดที่ชะลอตัวลง โดยผู้ผลิตและจำหน่ายรายใหญ่ปรับตัวด้วยการออกผลิตภัณฑ์สีนวัตกรรมรุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันและฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 และเชื้อแบคทีเรีย
เริ่มต้นที่ค่าย “สีเบเยอร์”ได้เปิดตัววัตกรรมสีทาภายในอาคาร “เบเยอร์ชิลด์แอนตี้ไวรัสโกลด์ไอออน” ที่พร้อมจะปกป้องผู้อยู่อาศัยทุกคนในบ้านให้ห่างไกลจากเชื้อไวรัสโควิด-19 นับว่าเป็นผลิตภัณฑ์สีทาภายในรายแรกที่กำจัดเชื้อโคโรนาไวรัส 99.99% ภายใน 2 ชั่วโมงโดยเบเยอร์ฯ ได้ทำงานร่วมกับสถาบันสุขภาพไวโรโลจี (Virology) จากประเทศอังกฤษในการทดสอบประสิทธิภาพและได้รับการรับรองว่าเบเยอร์ชิลด์แอนตี้ไวรัสโกลด์ไอออนมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโควิด-19ได้จริง และเพื่อเป็นการย้ำความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคว่า “เบเยอร์ชิลด์แอนตี้ไวรัสโกลด์ไอออน” สามารถกำจัดเชื้อโควิด-19ได้ผลจริง
ขณะเดียวกัน ก็มีความปลอดภัย ซึ่งเบเยอร์ฯยังได้ผ่านการทดสอบมาตรฐานด้านความปลอดภัยจาก FDA สหรัฐอเมริกา ความปลอดภัยของสีทาอาคารชนิดภายในขั้นสุดระดับ (Nearly Zero VOCs Emission) ตามเกณฑ์มาตรฐานกรมสาธารณสุขรัฐแคลิฟอร์เนีย ทำให้มั่นใจได้ว่าปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
ดร.วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ กล่าวว่า เพื่อก้าวข้ามสถานการณ์ความรุนแรงของโควิด-19 เบเยอร์ฯ มีการปรับเปลี่ยนวิจัยพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเบเยอร์ชิลด์ให้สูงขึ้นรองรับการแก้ปัญหาและกำจัดเชื้อไวรัสโควิด-19 สีเบเยอร์ชิลด์แอนตี้ไวรัสโกลด์ไอออนซึ่งมีอานุภาคทองคำบริสุทธิ์เล็กระดับ 30 นาโนเมตร ทำให้สามารถทะลุทะลวงผนังเซลล์ที่ห่อหุ้มด้วยความหนาของชั้นไขมันเข้าไปทำลายสารพันธุกรรมที่แกนกลางของโควิด-19 ได้มีประสิทธิภาพการกำจัดสูงถึง 99.99% ด้วยเวลาที่สั้นเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น
“ไม่เพียงกำจัดเชื้อโคโรนาไวรัสแต่ยังมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อไวรัส H1N1 และไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคมือเท้าปาก ที่สำคัญยังผ่านการทดสอบและรับรองโดยสถาบันสุขภาพ Virology ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงด้านไวรัสวิทยาระดับโลกอีกด้วย”
สำหรับเทคโนโลยีโกลด์ไอออน (Gold Ion) ที่สีเบเยอร์ฯ เลือกมาพัฒนานั้นเป็นอานุภาคทองคำบริสุทธิ์มีความเสถียรกว่าและปลอดภัยกว่าแร่เงิน (Silver Ion) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบเดิมๆ ปัจจุบันเทคโนโลยีล่าสุดโกลด์ไอออน (Gold Ion) ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อาหาร เครื่องสำอาง และวงการแพทย์ที่นำมาใช้รักษาอาการอักเสบต่างๆ
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัททีโอเอเพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีการแพร่ระบาดทั่วโลก รวมถึงการแพร่ระบาดในประเทศไทยจนถึงขณะนี้ทำให้มนุษย์เราต้องหันกลับมาใส่ใจเรื่องสุขอนามัยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตไม่ละเลยการป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคภัยต่างๆ มากขึ้น
ดังนั้น ทีโอเอในฐานะผู้นำนวัตกรรมสีทาอาคารและผลิตภัณฑ์ปกป้องพื้นผิวแบบครบวงจรในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนจึงตระหนักถึงความสำคัญด้านสุขอนามัยที่ดีสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ที่บ้านของเราเอง ล่าสุด จึงได้ทำการศึกษาและพัฒนา ‘นวัตกรรมสีทาบ้าน New Normal มาตรฐานใหม่เพื่อช่วยปกป้องผู้อยู่อาศัยในบ้านจากไวรัสโควิด-19 ด้วยนวัตกรรมสีทาอาคารสีทาภายในอานุภาค Silver Nano Technology ระดับนาโนที่มีอยู่ในสีทาภายในของ TOA ในแบรนด์สี SuperShield Duraclean A Plus, SuperShield Duraclean, TOA Shield-1 Nano, สีทนได้สี 4SEASONS รวม 12รุ่น ด้วยกลไกการทำงานของแร่เงินจำนวนมากจะส่งประจุอิออน 1+ จึงทำหน้าที่เข้าดักจับยับยั้งและกำจัดไวรัสตระกูลโคโรนาได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วจากผลการทดสอบกับ Porcine Coronavirus (Porcine epidemic diarrhea virus; PEDV)โดยคณะเวชศาสตร์เขตร้อนมหาวิทยาลัยมหิดล
นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ ที่ผ่านมาตรฐานการรับรองจากสถาบันต่างๆ ว่าปลอดภัยต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ไม่มีกลิ่น และสารระเหยเป็นพิษ (Nearly zero VOCs) ตามมาตรฐานการรับรองฉลากเขียวทั้งในประเทศไทยและสิงคโปร์ เช็ดล้างทำความสะอาดคราบสกปรกได้ (Self-cleaning Technology) เทคโนโลยี Air Detoxify ช่วยขจัดสารก่อมะเร็ง (ฟอร์มาลดีไฮด์) อากาศภายในบ้านตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยยับยั้งแบคทีเรียและเชื้อราได้สูงสุดถึง 99.99% ด้วยเทคโนโลยีจาก Microban, U.S.A. ผ่านการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว (Green Building) ทั้งอาคารเขียวของไทย (TREES) และประเทศสหรัฐอเมริกา (LEED) รวมทั้งยังเป็นสีภายในที่โรงพยาบาลชั้นนำเลือกใช้
ขณะเดียวกัน ค่าย “สีนิปปอนเพนต์” ก็เป็นอีกหนึ่งค่ายสีทาอาคารที่มีการออกผลิตภัณฑ์สีทาอาคารป้องกันและกำจัดไวรัสโควิด-19 ออกสู่ตลาดภายใต้ชื่อ “สีนิปปอนเพนต์แอร์แคร์” โดย นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไปบริษัทนิปปอนเพนต์เดคโคเรทีฟโคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 ส่งผลทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจและดูแลสุขภาพตนเองรวมถึงปรับตัวเพื่อตอบรับวิถีใหม่หรือ New Normal มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้สินค้าและบริการที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพมีการเติบโตเพิ่มมากขึ้นซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากตลาดกลุ่มสีเพื่อสุขภาพที่พบว่ามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปและผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ นโยบายของนิปปอนเพนต์ให้ความสำคัญกับสุขภาพและต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้า “นิปปอนเพนต์” จึงทำการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้นวัตกรรมที่ตอบโจทย์สร้างความต้องการให้แก่ตลาดและตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในกลุ่ม Business to Business (B2B) และ Business to Consumer (B2C) ซึ่งเป็นที่มาของ “สีนิปปอนเพนต์แอร์แคร์” ผลิตภัณฑ์สีทาภายในสำหรับบ้านและอาคาร
โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์สีเพื่อสุขภาพของสีนิปปอนเพนต์แบงออกเป็น 4 นวัตกรรมประกอบด้วย 1.Air Anti ด้วยเทคโนโลยี Silver-Ion ช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย 2.Air Fresh ด้วยเทคโนโลยี Anti-Formaldehyde with Active Carbon นวัตกรรมสีฟอกอากาศเปลี่ยนสารพิษที่อันตรายภายในบ้านและกลิ่นไม่พึงประสงค์ให้เป็นอากาศบริสุทธิ์สามารถดูดซับสารฟอร์มัลดีไฮด์ได้มากกว่า 80% ภายใน 48 ชั่วโมง 3.Air Wash ด้วยเทคโนโลยี Anti-Stain สามารถเช็ดล้างขัดถูได้ดีเยี่ยมและ 4.Zero VOCsไร้กลิ่นฉุนไร้สารระเหยตกค้างปลอดภัยต่อคุณและคนในครอบครัว ทาแล้วสามารถเข้าอยู่ได้ทันที
“สีนิปปอนเพนต์แอร์แคร์ถือเป็นนวัตกรรมที่นิปปอนเพนต์ที่มีการพัฒนาและนำเสนอเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคโดยเฉพาะในปัจจุบันที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยการใช้ชีวิตบนวิถีใหม่ หรือ New Normal การเลือกใช้สินค้าและบริการเพื่อสุขภาพเพื่อตนเองและครอบครัวจึงเพิ่มสูงขึ้นด้วยคุณสมบัติที่สามารถยับยั้งเชื้อไวรัสแบคทีเรียและเชื้อราได้ดี ไม่มีส่วนผสมของโลหะหนัก และกำจัดสารฟอร์มัลดีไฮด์ซึ่งเป็นสารระเหยที่มีอยู่ทั่วไปทั้งจากเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้อุปกรณ์สำนักงานต่างๆ และเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการ Sick Building Syndrome ซึ่งการเลือกใช้สีที่มีคุณสมบัติพิเศษจะช่วยให้ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ” นายวัชระ กล่าว
!!!...การปรับกลยุทธ์และออกผลิตภัณฑ์สีทาภายในอาคารที่มีคุณสมบัติป้องกันและกำจัดเชื้อไวรัสโควิด-19 และเชื้อแบคทีเรียของผู้ผลิตและจำหน่ายสีรายใหญ่ในปี 2563 ที่ผ่านมาถือเป็นการเริ่มต้นของการกลับมาขยายตลาดในกลุ่มผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้นด้วยการเน้นเจาะและลงลึกถึงพฤติกรรมและเทนรด์รักสุขภาพและสิ่งแวดล้อมรวมถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทั้งนี้ การปรับกลยุทธ์ของค่ายสีทาอาคารดังกล่าวมีปัจจัยหลักมาจากการชะลอการลงทุนพัฒนาโครงการอาคารสูงอาคารชุดพักอาศัยและการขยายการลงทุนต่างๆ ของภาคเอกชนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะในปี 2563 ซึ่งเรียกได้ว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์แทบหยุดการลงทุนโครงการใหม่ๆ กันเลยทีเดียวหลังจากเกิดภาวะการหดตัวในตลาดอสังหาฯ และภาวะโอเวอร์ซัปพลายในตลาดคอนโดซึ่งส่งผลให้ยอดจำหน่ายสีทาอาคารในกลุ่มโครงการจัดสรรและคอนโดหดตัวอย่างรุนแรงตามไปด้วย ดังนั้น ทางอออกของผู้ผลิตและจำหน่ายสีทาอาคารคือการกระตุ้นให้เกิดการใช้สีในกลุ่มผู้บริโภคโดยตรง โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเก่าปรับปรุงใหม่และตลาดรีโนเวตซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากนโยบายการ Work From Home ที่ต้องทำงานจากที่บ้านและต้องการปรับปรุงห้องทำงานในบ้านให้มีความสะดวกรองรับไลฟ์สไตล์การทำงานของผู้บริโภคหลังจากที่ต้องการใช้เวลาในการอยู่อาศัยภายในบ้าน หรือที่อยู่อาศัยมากขึ้น
นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มากขึ้นยังส่งผลให้ผู้บริโภคใช้ชีวิตอยู่ในบ้าน หรือที่อยู่อาศัยมากขึ้นจึงส่งผลต่อความต้องการปรับปรุงที่อยู่อาศัยและพื้นที่อยู่อาศัยให้รองรับของพฤติกรรมของสมาชิกในครอบครัวมากขึ้น เช่น ห้องเรียนเด็กๆ ที่ต้องปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนจากสถานศึกษามาเรียนผ่านระบบออนไลน์ที่บ้าน ห้องทำงานของพ่อแม่ซึ่งต้อง Work From Home และห้องพักผ่อนของปู่ย่ายตายายซึ่งต้องมีการปรับปรุงและทาสีใหม่
การออกผลิตภัณฑ์สีใหม่ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันและกำจัดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียของค่ายสีต่างๆ ต้องยอมรับว่าได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลุ่มผู้บริโภคทำให้ยอดขายของกลุ่มสีเพื่อสุขภาพของแต่ละค่ายมีอัตราการเติบโตอย่างมากซึ่งสะท้อนได้จากผลการดำเนินงานในปี 2563 ของค่ายสีนิปปอนเพนต์ฯ
โดยผู้จัดการทั่วไปบริษัทนิปปอนเพนต์ฯ ระบุว่าปี 2563 ตลาดสีทาบ้านและอาคารมูลค่า 25,000 ล้านบาท หดตัว 5-10% ขณะที่ดีมานด์ลดลง 15% เนื่องจากวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าวิกฤตโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อตลาดรวมสีทาบ้านและอาคาร แต่ก็พบว่ากลุ่มสีเพื่อสุขภาพกลับมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 1,000-1,500 ล้านบาท และคาดว่าครึ่งแรกของปี 2564 ตลาดสีทาบ้านและอาคารจะชะลอตัวเหมือนกลางปี 2563 แต่หากสถานการณ์ไม่ยืดเยื้อครึ่งปีหลังมี “วัคซีน” จะเป็นปัจจัยทำให้ตลาดกระเตื้องขึ้น คาดสิ้นปีจะกลับมาขยายตัวได้ดี