โกลเบล็กคัด 12 หุ้นเด่นรับอานิสงส์เราชนะ รัฐคลายล็อกมาตรการเข้มคุมโควิด-19 พร้อมประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ 1,470-1,530 จุด โดยปัจจัยหนุนตลาดมาจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 มีความคืบหน้าในหลายประเทศ
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GLOBLEX) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ 1,470-1,530 จุด โดยปัจจัยหนุนตลาดมาจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 มีความคืบหน้าในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่นเตรียมซ้อมฉีดวัคซีนก่อนฉีดจริงปลายเดือน ก.พ. อีกทั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การโควิด-19 (ศบค.) เตรียมพิจารณามาตรการผ่อนคลายต่างๆ โดยเฉพาะสถานศึกษา ในพื้นที่สีเขียวรวมถึงแนวทางปฏิบัติของร้านอาหาร
ทั้งนี้ ยังมองหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการคลายล็อกกิจกรรมต่างๆ โดยฝ่ายกลยุทธ์แนะลงทุน ใน 12 หุ้นเด่นที่ได้ประโยชน์จากปัจจัยดังกล่าว ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT, AU, M, SISB และ SPA นอกจากนี้ ยังแนะทยอยลงทุนหุ้นที่ได้อานิสงส์จากโครงการเราชนะ ได้แก่ TNP, KK, CPALL, BJC และ MAKRO
สำหรับปัจจัยที่น่าจับตาต่อเศรษฐกิจการลงทุน ยังคงต้องจับตา สหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาบ้านและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค. ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 26 ม.ค. และในวันเดียวกันต่อเนื่องวันที่ 27 ม.ค. มีการกำหนดประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) รวมถึงจีนจะเปิดเผยกำไรภาคอุตสาหกรรม ส่วนสหรัฐฯ เปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน สต๊อกน้ำมัน คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) แถลงมติอัตราดอกเบี้ย เช้าวันที่ 28 ม.ค.
สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/63 (ประมาณการเบื้องต้น) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน ยอดขายบ้านใหม่เดือน ธ.ค. ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือน ธ.ค. และในวันที่ 29 ม.ค. ติดตามธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย
"ปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นตัวแปรในการฉุดตลาดในขณะนี้ยังคงเป็นกรณีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทะลุ 100 ล้านราย จนบางประเทศยังมีมาตรการเข้มงวดหรือล็อกดาวน์เพิ่มเติมในบางพื้นที่ ส่วนในประเทศยังมีรายงานผู้ติดเชื้อทั่วประเทศเพิ่มเติม แม้บางพื้นที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ลดลง แต่ปัจจัยดังกล่าวยังเป็นตัวกดดันภาพรวมการลงทุน" น.ส.วิลาสินี กล่าว
ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก มองภาพรวมของการลงทุนในทองคำว่า ทองคำมีโอกาสรีบาวนด์ได้ แต่หากไม่ผ่านแนวต้านที่ 1,875-1,890 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ให้ระวังแรงขาย เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ยังทรงตัวใกล้ระดับ 1.10% เป็นปัจจัยกดดัน อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกัน มองว่าเฟดยังคงเดินหน้าเพิ่มขนาดงบดุลซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยช่วยพยุงราคาทองคำ ทำให้ประเมินแนวรับที่ 1,820-1,830 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์