xs
xsm
sm
md
lg

โบรกมองหุ้นไทยปีนี้สดใส คาดกำไร บจ.ฟื้นตัวเฉียด 40%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 2564 มีแนวโน้มสดใสกว่าปีก่อน เพราะความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจลดลง และอยู่ในช่วงผลการดำเนินงานฟื้นตัวต่อเนื่องถึงปี 2565 คาดกำไร บจ.จะฟื้นตัว 40% ขณะนักลงทุนให้ความสนใจหุ้นเติบโต (Growth) อีกครั้ง ประเมินระดับเหมาะสมของ SET Index ปีนี้ 1,450-1,500 แม้ตัวเลขจีดีพีร่วง เหตุโควิดรอบใหม่ระบาด ซ้ำเติมภาพรวมเศรษฐกิจที่เปราะบาง หวังการไหลเข้าเงินทุนเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดทุนฟื้น

ประเทศไทยเปิดรับปีใหม่ 2564 ด้วยการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เริ่มมาจากการตรวจพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่เกี่ยวโยงกับตลาดกลางกุ้งมหาชัย จ.สมุทรสาคร ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2563ที่ผ่านมา หลังจากที่ประเทศไทยไม่พบการติดเชื้อในประเทศมายาวนานตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ซึ่งสิ่งที่น่ากังวล คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดในรอบนี้ มีแนวโน้มจะกระจายไปเป็นวงกว้างและจะควบคุมได้ยากเนื่องจากการแพร่ระบาดในสถานที่สุ่มเสี่ยง ทั้งตลาด สถานบันเทิง สถานที่เล่นการพนัน ที่ยากต่อการควบคุมและการติดตามผู้สัมผัสเชื้อ ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการของภาครัฐที่เข้มข้นน้อยกว่าครั้งก่อน และจากพฤติกรรมของผู้คนเองที่มีการเดินทางและพบปะกันมากขึ้นในช่วงเทศกาล จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศจึงมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าการระบาดระลอกแรก และได้กระจายออกไปทั่วประเทศจนล่าสุดพบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 60 จังหวัด

อย่างไรก็ดีการระบาดระลอกใหม่นี้แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและธุรกิจต่าง ๆ ที่เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงกลางไตรมาส 4/2563ที่ผ่านมา ให้กลับทรุดลง หรือยืดระยะเวลาการฟื้นตัวออกไปจากที่เคยคาดการณ์ไว้ พร้อมกับยังมีความไม่แน่นอนและปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่ยังคงต้องติดตามในการประเมินผลกระทบจากการระบาดของโควิดรอบนี้

คาดGDP ปี 64 ร่วงเหลือ 2.0%

เกียรตินาคินภัทร หรือ KKP  ให้มุมมองต่อทิศทาง การเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศปีนี้ว่า อาจมีการปรับประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP สำหรับปี 2564 ลงอีกครั้งจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ในประเทศ โดยมองว่าการระบาดรอบนี้ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญผ่าน 2 ช่องทางหลัก คือ ประการที่ 1 การประกาศปิดเมืองจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศชะลอลงกว่าที่เคยประเมินไว้ ทำให้กระทบต่อการลงทุน การจ้างงาน รายได้และการบริโภค ขณะเดียวกันประการที่ 2 นักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะกลับมาได้ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้ มีแนวโน้มล่าช้าออกไปกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าในกรณีเลวร้ายที่การแพร่ระบาดรุนแรงจนทำให้มาตรการปิดเมืองต้องมีความเข้มข้นขึ้น ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ตลอดทั้งปี จะส่งผลให้ GDP อาจหดตัวได้ถึงติดลบ -1.2%

โควิดระลอกใหม่ซ้ำเติมเศรษฐกิจซบ

การระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 รอบใหม่และมาตรการปิดเมืองบางส่วน ตลอดจนการงดทำกิจกรรมนอกบ้านจากความกังวลในการแพร่ระบาด และการฉีดวัคซีนในประเทศ ที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ในวงกว้างในช่วงครึ่งแรกของปี จะส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญใน 2 ด้านคือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศจะสะดุดลงอีกครั้ง จากการระบาดและมาตรการที่มีแนวโน้มลากยาวกว่ารอบก่อน แม้ว่ามาตรการควบคุมการระบาดในครั้งนี้จะเน้นการควบคุมตามความเสี่ยงของพื้นที่ และธุรกิจ แต่สถานการณ์การระบาดที่มีแนวโน้มรุนแรงควบคุมได้ยากกว่ารอบที่แล้ว อาจทำให้รัฐต้องใช้มาตรการควบคุมการระบาดในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าครั้งที่ผ่านมา หรือสุดท้ายอาจต้องกลับมาใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ยิ่งไปกว่านั้น ในครั้งนี้จังหวัดที่มีการแพร่ระบาดสูงเป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับสูง โดยขนาดเศรษฐกิจโดยรวมของพื้นที่เสี่ยงสูง 28 จังหวัดคิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของ GDP ทั้งประเทศ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คาดว่าแม้การปิดเมืองจะเข้มงวดน้อยลงแต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมจะยังคงรุนแรงใกล้เคียงกับรอบที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจในไตรมาส 1 จะหดตัวรุนแรง ก่อนจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในไตรมาสถัดไป โดยมองว่าการที่รัฐจะสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในระยะเวลาประมาณ 2 เดือน ซึ่งจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกันกับในไตรมาส 2 ปี 2563 โดยการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัวลงรุนแรงและจะฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่เคยประเมินไว้ ส่งผลให้ GDP ในไตรมาสแรกปี 64 มีโอกาสโตติดลบถึง 6.1% และหากการระบาดจบลงตามคาด เศรษฐกิจจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้

ขณะที่ ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ให้มุมมองต่อภาพรวมทิศทางการลงทุนในตลาดทุนไทยว่า ประเมินดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน หรือ FETCO Investor Confidence Index ซึ่งได้มีการสำรวจในเดือนธันวาคม 2563 พบว่า ดัชนีฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 130.63 ปรับตัวลดลง 19.1% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรงอย่างมาก” มาอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ซึ่งยังสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนเมื่อเทียบกับความเคลื่อนไหวของดัชนีตลอดทั้งปี โดยนักลงทุนคาดหวังการไหลเข้าของเงินทุนเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน

สำหรับ ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ การท่องเที่ยว รองลงมาคือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงการระบาดของ Covid-19 ระลอกใหม่ โดยนักลงทุนคาดหวังการไหลเข้าของเงินทุนเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ การท่องเที่ยว รองลงมาคือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงการระบาดของ Covid-19 ระลอกใหม่

“หากพิจารณาความสำคัญที่นักลงทุนรายกลุ่มให้ความสนใจ พบว่านักลงทุนสถาบันในประเทศมองว่าฟันด์โฟลว์ไหลเข้าเป็นปัจจัยบวกแรก กอรปด้วยนโยบายภาครัฐที่มองว่ารัฐบาลจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีกรอบ ซึ่งประเมินว่าหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนคือ กลุ่มแบงก์ พลังงาน ปิโตรเคมี โรงกลั่น หรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ รวมทั้งหุ้นพื้นฐานดีที่ราคายังไม่ปรับตัวขึ้นมาก เมื่อเทียบกับตลาดในภาพรวมที่ปรับขึ้นมาร้อนแรง (Laggard) เช่น หุ้นในกลุ่ม ICT ส่วนหุ้นกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง หรือยังมีความน่าเป็นห่วง คือกลุ่มท่องเที่ยว”

ขณะเดียวกันในส่วนของเป้าดัชนีหุ้นปีนี้ซึ่ง FETCO ประเมินไว้ที่ 1,600 จุด โดยคาดการณ์ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนปีนี้จะเติบโต 40% จากปีที่ผ่านมาที่มีฐานต่ำมาก และอาจทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ ขณะเดียวกันมองว่าจะมีเงินทุนทั่วโลกไหลกลับเข้ามาลงทุนใน ตลาดเกิดใหม่ หรือEmerging Market เพิ่มมากขึ้น และนอกจากนี้เมื่อไทยมีความพร้อมในการผลิตวัคซีนโควิด-19 จะทำให้ประเทศเศรษฐกิจหรือตลาดเกิดใหม่ สามารถบริหารจัดการกับโควิด-19 ได้ดีขึ้น ประกอบการที่แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนกลับมาให้ความสนใจในตลาดเกิดใหม่มากขึ้น ซึ่งทำให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดทุนไทย (บจ.) มีผลประกอบการกลับมาเติบโตได้สูงถึง 40%

"มองว่าปีนี้จะยังมีหวังจากปัจจัยหนุนหลักๆ ที่จะมาผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการพัฒนาวัคซีนออกมา ตลอดจนถึงเงินทุนต่างชาติที่มีทิศทางไหลเข้าต่อเนื่อง จากสภาพคล่องที่ยังคงล้นตลาดอยู่ และประเทศไทยถือได้ว่าดัชนียังขึ้นมาไม่มากเมื่อเทียบกับหลายๆประเทศที่ทุบสถิติสูงสุดและสร้างสถิติใหม่ไปหลายครั้งแล้วในปีที่ผ่านมา"

ขณะที่ สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS)  ให้มุมมองต่อการลงทุนว่า ในปี 2564 เป็นปีของความคาดหวังการฟื้นตัวของธุรกิจและเศรษฐกิจจาก COVID-19 หลังจากเริ่มมีการแจกจ่ายวัคซีน แต่อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนในวงกว้างอาจจะทำได้ไม่เร็ว ดังนั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยังไม่กลับไปเป็นปกติดังเช่นก่อนเกิด COVID-19 ซึ่ง ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกจะมีการฟื้นตัวหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเศรษฐกิจจีนและสหรัฐจะมีการฟื้นตัวเร็ว ส่วนยุโรป ญี่ปุ่น และไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่จะฟื้นตัวช้าเนื่องจากต้องพึ่งพาความต้องการจากต่างประเทศและการท่องเที่ยวสูง นอกจากนั้นนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนการฟื้นตัว

ด้านเศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดการณ์ว่า GDP จะเติบโต 3% เทียบปีก่อน โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกเป็นสำคัญ หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปีที่ผ่านมา ได้เห็นการปรับตัวของหลายๆ อุตสาหกรรมในประเทศไทยและมองว่าอุตสาหกรรมที่จะเห็นการฟื้นตัวอย่างโดดเด่น ปี 2564 คือ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี, ประกัน, อาหาร, บรรจุภัณฑ์, การแพทย์ และขนส่งทางบก สำหรับกลุ่มโรงแรมและสายการบินอาจจะเห็นการฟื้นตัวอย่างโดดเด่นเช่นกัน แต่ยังมองว่าผลประกอบการน่าจะยังขาดทุนต่อเนื่องจากปีก่อน สำหรับการระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ในปัจจุบัน เชื่อว่าทุกภาคส่วนมีความพร้อมในการรับมือมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ภาคการท่องเที่ยวยังคงได้รับผลกระทบมากทำให้คาดว่าการฟื้นตัวจะเริ่มเห็นในไตรมา 4/64 เป็นต้นไป

ขณะที่แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี 2564 มีแนวโน้มสดใสกว่าปี 2563 จากความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่ลดลง เนื่องจากอยู่ในช่วงของผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวต่อเนื่องถึงปี 2565 โดยเฉพาะธุรกิจที่ขึ้นกับวัฏจักรเศรษฐกิจ (พลังงาน ปิโตรเคมี ธนาคาร การบริโภค และ การท่องเที่ยว เป็นต้น) โดยคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะฟื้นตัว 40% เทียบปีก่อนในปี 2564 และ 19% เทียบปีก่อน ในปี 2565

อย่างไรก็ตาม ความผันผวนจะยังอยู่จากระดับราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเร็วและความเสี่ยงภายนอกที่สูงขึ้น ประเมินระดับเหมาะสมของ SET Index ปี 2564 อยู่ที่ 1,450-1,500 จุด อ้างอิงจากปัจจัยพื้นฐาน ขณะเดียวกันคาดว่าดัชนี SET Index ในบางช่วงเวลามีโอกาสแกว่งตัวขึ้นไปเกินกว่าระดับดังกล่าว 5-10% จากปัจจัยหนุนของสภาพคล่องในตลาดการเงินที่สูง และเงินทุนต่างประเทศที่กลับเข้ามาลงทุน ไปจนถึงความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานที่ต่อเนื่องถึงปี 2565 โดย กลยุทธ์การลงทุนไตรมาสแรกปี 2564 จะเน้นเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจมากขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงซื้อสะสมหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์ในอนาคต ได้แก่ พลังงานสะอาด การดูแลสุขภาพ และ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี 

ขณะที่ ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด มองว่าทิศทางการลงทุนเดือน ม.ค. ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วงเดือนแรกของปีจะมีแนวต้านสำคัญที่ 1,500 จุด ซึ่งเป็นระดับดัชนีที่พอสามารถยืดไปถึงได้ หากกระแสเงินทุนยังไหลเข้า ในทางกลับกันมองแนวรับแรกที่ 1,400 จุด และแนวรับสำคัญที่ 1,360 จุด ซึ่งเป็นระดับดัชนีที่อิงกับ Forward PE ที่ 17.3 เท่า ถือเป็นระดับที่คำนึงถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในช่วงถัดไปแล้ว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลัง COVID -19 ในประเทศกลับมาระบาดรุนแรงอีกครั้ง

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือน มกราคม2564 คาดว่า  นักลงทุนจะกลับมาให้ความสนใจลงทุนหุ้นเติบโต (Growth) อีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้ช่วงการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 4 ปี 2563 เนื่องจากหุ้นเหล่านี้มีโอกาสกลับมาให้ผลตอบในด้านกำไรที่ดีได้ ซึ่งแตกต่างกับหุ้นกลุ่มวัฏจักร (Cyclical) และหุ้นกลุ่มคุณค่า (Value) ที่ดีดตัวขึ้นแรงในช่วง 1-2 เดือนก่อนหน้านี้ แต่ในแง่ผลประกอบการนั้น อาจสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนได้ ดังนั้น ผู้ที่ถือครองหุ้นเหล่านี้อยู่อาจต้องระวังแรงขายที่อาจเกิดขึ้นในช่วงก่อนประกาศงบการเงิน

ด้าน วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก หรือ GBS มองว่า ปัจจัยเชิงบวกที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย ได้แก่การที่ตลาดคาดหวังว่าสหรัฐจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเพิ่มเติมหลังจากการที่นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐเข้ารับตำแหน่ง ผนวกกับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังซาอุดีอาระเบียรับอาสาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงเดือน ก.พ. และ มี.ค. 64 เพื่อชดเชยในส่วนของรัสเซียและคาซัคสถานที่จะปรับเพิ่มกำลังการผลิตในการที่จะรักษาระดับราคาน้ำมันและรักษาสมดุลตลาดในช่วงที่ความต้องการใช้น้ำมันอ่อนแอจากมาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศ

นอกจากนี้คาดว่ารัฐบาลจะออกมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ทั้งมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการพักหนี้และการออกสินเชื่อเพิ่มเติม

ขณะที่ภาพรวมของการลงทุนทองคำนั้น  ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก  กล่าวว่า ราคาทองคำในปี 2564 จะยังคงผันผวนโดยมีปัจจัยหนุนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ต่อเนื่องมาจากปี 2563 ส่งผลให้เฟดยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการ (QE) ต่อเนื่องทำให้งบดุลของเฟดมีการขยายตัวต่อเนื่องสู่ 7.4 ล้านล้านดอลลาร์ และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่คาดว่าจะกลับมารุนแรงขึ้นเนื่องจากสหรัฐต้องการปกป้องภาคการผลิตในประเทศ

อย่างไรก็ตาม จากการค้นพบวัคซีน COVID-19 จะเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำเนื่องจากรัฐบาลทั่วโลกจะต้องถอนเม็ดเงินที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อซื้อวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชนในประเทศ ส่งผลให้ปริมาณเงินในระบบลดลงและเป็นปัจจัยกดดันต่อทองคำ

ในด้านเทคนิคราคาทองคำโลกในปี 2563 มีการสร้างจุดสูงใหม่ (All time high) ที่ 2,074 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ซึ่งเป็นสัญญาณของการปรับตัวขึ้นรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม จากการค้นพบวัคซีนทำให้ทองคำได้รับความสนใจในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง ซึ่งคาดว่ากรอบการเคลื่อนไหวของราคาทองคำโลกในปี 2564 อยู่ที่ 1,690-2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์

ขณะที่ อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวถึงมุมมองการลงทุนในหุ้นไทยว่าจากผลกระทบ โควิด-19 ทำให้ตลาดหุ้นไทยปี 2563ปรับตัวลง 8% และเคลื่อนไหวแย่กว่าตลาดหุ้นโลก (MSCI World Index) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14%

คาด3 ปัจจัยบวกพลิกหุ้นไทยฟื้น

สำหรับมุมมองหุ้นไทยปีนี้ คาดว่าหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวจากปีที่แล้วจาก 3 ปัจจัยที่สำคัญคือ ประการแรก การฟื้นตัวของตัวเลขเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดย บล.ทิสโก้คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะกลับมาเติบโต 3.4% จากปี 64 ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัว 6.3% ส่วนกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยในปี 2564 คาดว่าจะฟื้นตัวแรง 34% ขณะที่ปี 2563 คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนไทยจะติดลบ 38% จากกำไรในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของกำไรตลาดโดยรวมจะเติบโต 79% และ 25% ตามลำดับ ส่วนปี 65 คาดกำไรโดยรวมจะเติบโตอีก 16% อานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้เต็มที่หลังมีวัคซีน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว

อีกทั้งนโยบายการเงินยังคงอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายมาก เมื่อเทียบกับในอดีตจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ได้ปรับเป้าหมายนโยบายการเงินไปใช้ “อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย” ที่ 2% ซึ่งจะทำให้ FED สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้นานกว่าในอดีต ทั้งการคงดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และการอัดฉีดสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง ทำให้จากการประเมิน คาดว่า FED จะอัดฉีดสภาพคล่องในปีนี้เพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ฯ

สุดท้ายตือนโยบายด้านเศรษฐกิจของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ที่มีแผนการใช้จ่ายเงินจำนวนมากจะกดดันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ให้มีแนวโน้มอ่อนค่าลง ซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม นอกจากนี้การที่นโยบายต่างประเทศของไบเดน ที่ประนีประนอมกว่าทรัมป์ และสามารถประเมินความเป็นไปได้มากกว่านายโดนัล ทรัมป์ มองว่าน่าจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลกและช่วยลดความผันผวนของตลาดลงได้

“เราประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยที่เหมาะสมในปี 2564 อยู่ในระดับที่ 1,450-1,590 จุด โดยในครึ่งปีหลังมีโอกาสสูงที่จะเหวี่ยงตัวขึ้นไปใกล้ๆ ระดับ 1,600 จุด หรือเทียบเท่าตอนสิ้นปี 2562 ก่อนที่โควิด-19 จะระบาด” อภิชาติกล่าว

ไพบูลย์  นลินทรางกูร  ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย

สุกิจ  อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS)

วิลาสินี   บุญมาสูงทรง  ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก หรือ GBS

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด

ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก

อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด


กำลังโหลดความคิดเห็น