ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ 26-27 ม.ค.นี้ เฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่กรอบ 0.00-0.25% พร้อมกับคงวงเงินซื้อสินทรัพย์ต่อเดือนที่ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ตามเดิม (เป็นวงเงินสำหรับซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 8.0 หมื่นล้านดอลลาร์ และสำหรับซื้อ Mortgage-backed Securities 4.0 หมื่นล้านดอลลาร์) แม้ว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีสัญญาณรุนแรงขึ้นในสหรัฐฯ ส่งผลกระทบให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยง ขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายส่วนยังคงมีทิศทางปะปน ทั้งนี้ เพื่อรอประเมินสัญญาณกระตุ้นเพิ่มเติมจากนโยบายการคลัง หลังรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ เตรียมที่จะผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 เป็นวงเงินสูงถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 9.0% ของจีดีพีสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากการปรับสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (บอนด์ยิลด์) ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะส่งสัญญาณเข้าซื้อพันธบัตรในอายุที่ยาวมากขึ้นเพื่อจำกัดกรอบการปรับตัวขึ้นของต้นทุนทางการเงินสำหรับภาคครัวเรือนและธุรกิจ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเนื่องต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นมาเมื่อเทียบกับช่วงปลายปีก่อนหน้าประมาณ 0.18% หรือ 18 basis points มายืนที่ระดับ 1.10% (ข้อมูล ณ 22 ม.ค.2564)
สำหรับแนวโน้มในระยะข้างหน้า คาดว่าเฟดจะยังคงเน้นน้ำหนักความสำคัญกับโจทย์ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจภาพรวมมากกว่าประเด็นด้านเงินเฟ้อ ขณะที่ตัวแปรสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่อการกำหนดท่าทีของเฟดในระยะข้างหน้าจะอยู่ที่ 2 เรื่อง ได้แก่ ความสามารถในการควบคุมการระบาดและความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ทั้งนี้ ภารกิจในการฉีดวัคซีนให้แก่พลเมืองสหรัฐฯ ให้ครบเป้าหมายที่ 100 ล้านคน (หรือราว 40% ของประชากรทั้งประเทศ) ภายใน 100 วันแรกของการรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงมีความท้าทาย เนื่องจากอุปสรรคในการส่งมอบวัคซีนและสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มรุนแรงและมีความเสี่ยงจากการแพร่กระจายของสายพันธุ์ใหม่ (โดยเฉพาะจากสายพันธุ์ในอังกฤษ) เพิ่มขึ้น
และความรวดเร็วและความสำเร็จของรัฐบาลใหม่ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการผลักดันมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสภาคองเกรส เนื่องจากสมาชิกสภาคองเกรสบางส่วนทั้งฝั่งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันยังคงตั้งข้อสังเกตถึงความจำเป็นในการใช้เม็ดเงินขนานใหญ่ที่สูงถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ โดยจุดเปลี่ยนสำคัญจะอยู่ที่กระบวนการพิจารณาของวุฒิสภาสหรัฐฯ ซึ่งเดโมแครตและรีพับลิกันมีคะแนนเสียงเท่ากันอยู่ที่ 50:50 ซึ่งเท่ากับว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะต้องได้รับคะแนนเสียงเพิ่มเติมบางส่วนจากฝั่งรีพับลิกัน
ดังนั้นแล้ว หากสหรัฐฯ ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนจากความเสี่ยงของโควิด-19 และความล่าช้าของการเดินหน้ามาตรการทางการคลัง ก็อาจทำให้มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะยังคงส่งสัญญาณพร้อมผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม
ด้านผลต่อไทยนั้น คาดว่า การส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะไม่มีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย เนื่องจาก กนง. น่าจะเน้นน้ำหนักการพิจารณาไปที่ปัจจัยเศรษฐกิจไทยมากกว่า อย่างไรก็ดี ตัวแปรจากฝั่งสหรัฐฯ คงมีผลต่อความเคลื่อนไหวของทิศทางค่าเงินบาทและอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทย โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยอาจมีจังหวะทยอยขยับขึ้นตามทิศทางตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยเพิ่มเติม นอกเหนือไปจากแนวโน้มปริมาณการออกพันธบัตรรัฐบาลของไทยที่จะสูงต่อเนื่องในปีนี้ เพื่อระดมทุนสำหรับมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ขณะที่แม้เงินบาทจะยังมีแนวโน้มแข็งค่า แต่กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทอาจผันผวนมากขึ้น เพราะเงินดอลลาร์อาจได้รับแรงหนุนในบางช่วงในฐานะสกุลเงินปลอดภัยท่ามกลางความเสี่ยงจากฝั่งสหรัฐฯ ทั้งประเด็นที่เกี่ยวกับมาตรการเศรษฐกิจ การเมืองภายใน และสถานการณ์โควิด-19