เป็นที่ทราบกันดีว่า หุ้นบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ในช่วงปีนี้ทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงกว่า 1,000% จากจุดต่ำสุดประมาณ 30 บาท เมื่อช่วงมีนาคม และมาร้อนแรงที่สุดในหลายวันที่ผ่านมา กระทั่งราคามาสูงสุดที่กว่า 800 บาท เมื่อ 28 ธันวาคม 2563 (จากนั้นก็ลดลงมาที่ระดับต่ำกว่า 440 บาท ในวันเดียวกัน)
ทางสมาคมนักวิเคราะห์ฯ โดยนายกรภัทร วรเชษฐ์ จาก บล.โนมูระ พัฒนสิน และนายเอนกพงศ์ พุทธาภิบาล จาก บล.เอเซีย พลัส ให้มุมมองเชิงวิเคราะห์ต่อภาพรวมหุ้น DELTA โดยสรุปประเด็นสำคัญที่น่าสนใจคือ
ความสนใจของผู้ลงทุนในหุ้น DELTA เกิดจากการที่ DELTA อยู่ในธุรกิจที่กำลังเติบโต ตลาดให้ความสนใจหุ้นเทคโนโลยี ในช่วงการเข้าสู่ยุค 5G
การที่จะได้เข้าอยู่ในดัชนี SET50 โดยที่ฟรีโฟลตมีน้อยมาก ทำให้ราคาขยับขึ้นมาได้เร็วมาก
ทางด้านผลประกอบการปีนี้ 9 เดือน โดดเด่น มีกำไรสุทธิกว่า 5,500 ล้านบาท เพิ่มกว่า 100%
หลายๆ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับผลบวกยิ่งขึ้นจากโควิด-19 เช่น ศูนย์จัดเก็บข้อมูลขยายตัวมากสินค้าเครื่องชาร์จและสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยที่คาดว่ายอดเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในหลายปีข้างหน้าเฉลี่ยจะโต 29% ต่อปี
อย่างไรก็ดี บล.เอเซียพลัส หรือ ASP คาดว่าใน 2 ปีหน้า กำไรจะโตในระดับ 15% และ 12.7% ตามลำดับ ขณะที่ในส่วนของมูลค่าหุ้นประเมินว่าจะอยู่ที่กรอบ 150 บาท โดยมี P/E 24 เท่า ของ EPS ปี 2564
นอกจากนี้ มีประเด็นที่แนะให้ติดตามดูคือ การที่ DELTA เป็นผู้ส่งออก ขณะที่ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ซึ่งจะมีผลลดทอนประสิทธิภาพการทำกำไรในปี 64 บ้าง
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นที่ขึ้นแรงที่ผ่านมา น่าจะตอบรับทางบวกในอนาคตไปแล้ว จนราคาวิ่งไปที่ P/E เกิน 100เท่า (จากนั้นได้ปรับตัวลง) ส่วน P/E ปี 2564 ขณะนี้ก็สูงถึง 77 เท่า โดยทั่วไปนักวิเคราะห์ฯ แนะนำให้ขาย เนื่องจากราคาเกินมูลค่าไปเยอะมาก
ขณะที่ในเชิงกลยุทธ์ คาดว่าจากการที่จะเข้าอยู่ใน SET50 กองทุนประเภท Passive Fund คงต้องลงทุนหุ้น DELTA แน่ คาดการณ์รวมเป็นมูลค่า 3 พันล้านบาท แต่คงจะได้ทยอยเตรียมปรับล่วงหน้ามาแล้วทีละน้อย จนจะครบถ้วนทั้งหมดในวันที่ 30 ธันวาคม และตั้งข้อสังเกตคือ แล้วหลังจากนี้ใครจะเป็นผู้เข้ามาซื้อต่อหรือไม่ ด้วยระดับราคาที่สูงเกินมูลค่าไปมาก นักวิเคราะห์ฯ คาดว่ากองทุนประเภท Active Fund ก็น่าจะไม่สนใจ
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ฯ แนะนำถึงวิธีประเมินค่าหุ้น DELTA ที่เหมาะสมคือวิธี DCF ที่ต้องคาดการณ์ในอนาคตหลายปี อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนไม่สะดวกในการใช้ DCF จะใช้ PE ก็ยังพอใช้ประกอบได้
