ไซมิส แอสเสท เทรดวันแรกเหนือจอง 40 สตางค์ หรือปิดที่ 5.90 บาท คิดเป็น 7.27% มูลค่าซื้อขาย 2,281.90 ล้านบาท ผู้บริหารเตรียมนำเงินไปใช้ขยายงานตามแผน และชำระหนี้ ด้านโบรกฯ มอง SA มีผู้บริหารที่มีความสามารถและชำนาญ และทีมงานมีประสบการณ์ด้านอสังหาฯ อีกทั้งมีแผนเพิ่มช่องทางรายได้ และมีแผนซื้อสินทรัพย์ NPA มาปรับใหม่เพื่อลดต้นทุนการก่อสร้าง
หุ้นของบริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA เข้าซื้อขายเป็นวันแรก โดยราคาเหนือจองที่ 7.55 บาท เพิ่มขึ้น 2.05 บาท หรือ 37.27% จากราคาไอพีโอที่กำหนดไว้หุ้นละ 5.5 บาท ส่วนราคาล่าสุดอยู่ที่ 6.55 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 1.6 พันล้านบาท ระหว่างวันราคาหุ้นปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 7.85 บาท ต่ำสุดที่ 5.85 บาท เมื่อปิดตลาดราคาอยู่ที่ 5.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท คิดเป็น 7.27% มูลค่าซื้อขาย 2,281.90 ล้านบาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯ ว่า SA มีผู้บริหารที่มีความชำนาญในธุรกิจก่อสร้าง และใช้ประสบการณ์และทีมงานทำงานในอดีตที่มีประสบการณ์มาใช้เป็นจุดแข็งของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเพิ่มช่องทางของรายได้จากการให้บริการแบบโรงแรมเพื่อเพิ่มช่องทางของรายได้ประจำในอนาคต และอนาคตจะใช้การซื้อสินทรัพย์ NPA มาปรับปรุงใหม่เพื่อลดต้นทุนในการก่อสร้างและมีงานในมือราว 9.4 พันล้านบาท (ทยอยรับรู้จนถึงปี 2566) แต่อย่างไรก็ตาม ณ ราคา IPO ถือว่าค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับกลุ่มและการรับรู้รายได้ของบริษัททั้งของการโอนคอนโดฯ และโรงแรมมีความเสี่ยงจากการห้ามเดินทางของชาวต่างชาติที่มีสัดส่วนค่อนข้างสูง รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่ยืดเยื้ออาจทำให้การโอนโครงการล่าช้ากว่าคาดได้
บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ฯ ว่า ราคาหุ้น IPO ของ SA ที่ 5.50 บาท (Trailing PE = 14.9x) จำนวนหุ้น IPO 150 ล้านหุ้น มูลค่า 825 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์การระดมทุน เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และชำระคืนเงินกู้ยืมธนาคาร รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด ‘Asset of Life สร้างกำไรให้กับทุกการใช้ชีวิต’ เปิดเผยว่า หุ้น SA เป็นหุ้นไทยตัวสุดท้ายของปี 2563 ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมั่นใจว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ที่แตกต่างเหนือคู่แข่ง จะช่วยสนับสนุนให้ SA เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน
ทั้งนี้ หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เบื้องต้นจะนำเงินที่ได้ส่วนหนึ่งไปใช้ชำระคืนสถาบันการเงินเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน โดยจะทำให้อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (IBD/E) ลดลงเหลือประมาณ 1.5-1.7 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.1 เท่า และส่วนที่เหลือจะนำไปพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ขยายการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแผน และส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ
ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์ในมือมูลค่ารวม 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะรองรับการเติบโตอีก 3 ปีข้างหน้าได้ โดยไม่ต้องมีการลงทุนโครงการใหม่ ขณะที่สินทรัพย์ดังกล่าวเป็นยอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ารวม 9,446 ล้านบาท ทยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้ไปจนถึงปี 64 อีก 2,000-3,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ช่วง 3 ปีข้างหน้า