โบรกเกอร์เตือนโควิด-19 รอบใหม่ กดดันสถาบันแห่ขายหุ้นใหญ่ทำกำไร แต่คาดหวังคุมการระบาดได้เร็ว หนุน SET ปีหน้าแตะ 1,600 จุด พร้อมประเมินหุ้น 3 กลุ่ม รับผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบ รอเก็บหุ้นฟื้นตัวเร็ว อย่างพลังงาน โลจิสติกส์ อสังหาฯ ส่วนกลุ่มอาหาร-ท่องเที่ยวน่าห่วง เหตุฟื้นช้า ให้รอเก็บช่วงราคาสร้างฐาน และแนะเก็งกำไร STGT-TQM ด้านหยวนต้า คาดโควิด-19 รอบใหม่กดดัน SET INDEX ไม่แรงเท่ารอบแรก แย่สุดทำ SET ลงไปแตะ 1,400 จุด กระทบจีดีพี 0.9% แนะเป็นโอกาสซื้อช่วงราคาพักตัว
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ในไทยมีความเสี่ยงกลับมาแพร่ระบาดรอบใหม่อีกครั้ง โดยช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (19-20 ธ.ค.) มีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 610 ราย (ตามรายงานอย่างเป็นทางการ) ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องมาจากกรณีแพกุ้ง จังหวัดสุมทรสาคร ซึ่งการระบาดดังกล่าวถือเป็นประเด็นลบที่เหนือความคาดหมายของตลาด
มองโควิด-19 รอบใหม่กระทบเชิงลบตลาดหุ้นระยะสั้น
ดังนั้น อาจมีความเป็นไปได้สูงที่ทำให้กลุ่มนักลงทุนสถาบันฯ ขายเลี่ยงความเสี่ยงหุ้นที่มีกำไรออกมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่ม Domestics ที่โดนผลกระทบจากการแพร่ระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 โดยตรง เป็นแรงกดดันให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาผันผวนสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะเวลา 1-2 วัน หลังจากนี้ ตอบรับกับช่าวเชิงลบที่เป็น Negative Surprise บวกกับยังเป็นช่วงเวลาที่มีการตรวจหาผู้ติดเชื้อทั้งกลุ่มเสี่ยงสูงและเชิงรุก ซึ่งเป็นการตรวจกลุ่มคนจำนวนมาก จึงอาจทำให้พบจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นจิตวิทยาเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทยระยะสั้น
ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันอยู่ในจุดที่เปราะบาง เนื่องจาก SET Index ปรับตัวขึ้นมาจาก 1,194.95 จุด ณ สิ้นเดือน ต.ค. มากถึง 287.43 จุด หรือคิดเป็น 24.05% รวมถึงหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้นแรงจากแรงซื้อของต่างชาติในลักษณะการเข้าซื้อเป็นตะกร้าหุ้น ส่งผลให้นักลงทุนสถาบันฯ ที่ใช้ดัชนี SET/SET50 เป็นตัวอ้างอิงจำเป็นที่จะต้องสลับเข้าซื้อในหุ้นกลุ่ม Big Cap ในลักษณะ Benchmarking เพื่อทำผลตอบแทนให้ไม่แพ้ตลาดที่ปรับตัวขึ้นแรงเช่นเดียวกัน
เชื่อหากผ่านรอบนี้ได้ ตลาดจะฟื้นตัวได้ มอง 1,600 จุด ปี 64
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวภาพตลาดน่าจะเป็นลักษณะการค่อยๆ สร้างฐาน และเริ่มฟื้นตัว (อยู่บนสมมติฐานว่าไม่มีการขยายวงกว้างการล็อกดาวน์ไปยังจังหวัดอื่นๆ แม้ว่าการแพร่ระบาดรอบใหม่ครั้งนี้จะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนและตลาดหุ้นไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งผลกระทบเชิงลบจึงอาจจะไม่รุนแรงนักหากเทียบกับกรณีที่เกิดการระบาดก่อนวัดซีนจะทดลองสำเร็จ จึงยังคงมุมมองต่อภาพตลาดหุ้นไทยขาขึ้นในระยะกลางยาว (คงเป้าหมาย SET Index ปี 2564 ที่ 1,600 จุด) จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวและสภาพคล่องจากการกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยังคงอยู่
อย่างไรก็ตาม บริบทของตลาดอาจมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในบางแง่มุม 1) โอกาสการเปิดประเทศอาจจะต้องชะลอออกไป (ประเมินว่าอย่างน้อยราว 6 เดือน) เนื่องจากภาครัฐยังไม่พร้อมที่จะรับศึกหลายด้าน (Negative : หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว) 2) ประเทศไทยกับตำแหน่งแชมป์ประเทศที่บริหารจัดการโควิด-19 ที่ดีสุดในโลก อาจสั่นคลอน (Negative : SET Index)
ประเมิน 3 กลุ่มหุ้นได้รับผลกระทบบวก-ลบ
ทั้งนี้ ประเมินหุ้นที่ได้รับผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1) Outperformers tharinla : TOM, STGT (เก็งกำไร)
TOM แนวโน้มกำไรปี 64 มี upside หลังมีความกังวลต่อการกลับมาแพร่ระบาดระลอกใหม่ กระตุ้นให้ยอดการต่ออายุประกันโควิด-19 มีมากขึ้น จากเดิมที่ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะไม่ต่อ
STGT : จากแนวโน้มกำไร Q4/63 ที่น่าจะออกมาดีกว่าตลาดคาด ผสานกับอานิสงส์บวกระยะสั้นจากสถานการณ์โควิด-19 น่าจะหนุนให้ตลาดกลับมาให้ความสนใจ และมีโอกาสการปรับมุมมองในแง่ muliple PE มากขึ้นอย่างกะทันหัน เนื่องจากปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PIE ค่อนข้างต่ำ หลังจากการพัฒนาวัคซีนสำเร็จ นอกจากนี้ ยังให้ผลตอบแทนเงินปันผลในระดับที่น่าสนใจ
2) Buy on Weakness คาดฟื้นตัวได้เร็ว (ยอดตั้งรับจังหวะที่คุ้มราคาอ่อนตัว)
Petrochem : PTTGC, IVL
Energy : PTT
คาดว่า Demand การใช้ปิโตรเคมี และน้ำมัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศโดนผลกระทบเชิงลบจำกัด เมื่อเทียบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศรอบแรก อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดล่าสุดยังไม่ขยายวงกว้างไปยังจังหวัดที่มี Operations เยอะ อย่างชลบุรี และความเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาดจนถึงชั้นล็อกดาวน์ยังมีไม่มากเนื่องจากในนิคมอุตสาหกรรมและแรงงานส่วนใหญ่เป็นคนไทย ประกอบกับผลประกอบการใน Q4/63 ที่น่าจะดีกว่าตลาดคาดจากราคาและส่วนต่างผลิตภัณฑ์สายโอเลฟินส์ และ PET รวมถึงคาดการณ์ราคาน้ำมันที่ดีกว่าคาด
Gobal Logistics : WICE, LEO, SONIC
Dermand การใช้การขนส่งทางเรือ และทางอากาศของผู้ส่งออกมีมาก ในขณะที่ Supply จำกัด ทำให้กำไรของบริษัทมี upside ที่ดีกว่าคาดใน Q4/63 และต่อเนื่องใน Q1/64 จากคำสั่งซื้อที่ต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์กลุ่มอิเล็กทรอนิกต์ปิโตร ตกแต่งบ้าน-ของใช้ ยานยนต์ โดยเฉพาะเคมีงจากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป แม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังสูง
Home improvement : HMPRO, DOHOME, GLOBAL
แนวโน้มหุ้นกลุ่มนี้น่าจะกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง แนวโน้มกำไรปี 64 น่าจะยังสามารถขยายตัวได้ แม้ว่าฐานของปีนี้สูงจากอานิสงส์บวกจากคนซื้อของและตกแต่งบ้านมากกว่าปกติ แต่ด้วยราคาหุ้นที่ลดลงมาจาก sector rotation ในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา เชื่อว่าเมื่อราคาหุ้นย่อตัวลง คือ โอกาสเก็บเพื่อเป็นหุ้นลงทุน จากแนวโน้มตลาดที่อาจกลับมาเก็งบวก Speclal Domand จากการอยู่บ้านมากขึ้นอีกรอบได้
Property : LH, SC
แนวโน้มรายได้ของบริษัทจะโดนกระทบน้อยมากจากโควิด-19 รอบใหม่ เนื่องจากผ่านบทพิสูจน์มาแล้วในรอบแรก ในทางตรงข้ามยังได้ประโยชน์จาก Demand บ้านแนวราบที่สูงขึ้น แถมยังทำให้ทั้ง LH และ SC มี backog เพียงพอที่ทำให้แนวโน้มกำไรปี 64 ออกมาดีกว่าคาด บวกกับบริษัทฯ เป็นผู้นำในตลาดอสังหาฯ จึงมีความได้เปรียบผู้พัฒนารายเล็กจากแหล่งเงินทุนที่มีมากกว่า ได้เปรียบในตลาดบ้านแนวราบที่ต้องสร้างก่อนขาย และด้านความน่าเชื่อถือ เนื่องจากบ้านเป็นสินทรัพย์ที่ต้องซื้อเพื่อยู่ยาว ปิดโอกาสการเข้ามาแข่งขันของผู้แข่งรายใหม่
FIN : SINGER, JMT
คุณภาพสินทรัพย์ใน Q4/63 พื้นตัวเร็วกว่าที่ตลาดคาด และกลับไปเทียบเคียงกับช่วง Pre-COVID โดยเฉพาะจากกลุ่มฐานรากซึ่งได้ประโยชน์จากมาตรการคนละครึ่งและนโยบายช่วยเหลือของ ธปท.ลดดอก พักจ่ายหนี้ ลดขัั้นต่ำ เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม โดย JMT SINGER เป็นหุ้นที่จะรายงานกำไรทำ all time high ทั้งรายไตรมาสและรายปี ซึ่งเราเชื่อว่าจะทำให้ราคาหุ้น outperform ได้อีกครั้งในช่วง Earnings play ดังนั้น หากราคาย่อตัวเป็นจังหวะซื้อ
และ 3) Wailt for Consolidation จังหวะสะสมช่วงราคาเริ่มสร้างฐาน ใช้เวลาในการฟื้นตัว
CPF, TU : แม้ว่าผลกระทบโดยตรงจำกัด เนื่องจากในช่วงไตรมาสที่ 4 เป็นโลว์ซีซันของธุรกิจกุ้ง ทั้งทางด้านการเลี้ยง (เนื่องจากเป็นฤดูหนาว) และการส่งออก ในขณะที่สัดส่วนรายได้จากธุรกิจกุ้งทั้งในไทยและจากการส่งออกของ CPF มีไม่มาอยู่ที่ราว 4- 5% ในขณะที่ TU มีสัดส่วนประมาณ 10-15% แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทมีโรงงานที่มหาชัย ซึ่งยังต้องติดตามว่าการแพร่ระบาดจะขยายวงกว้างหรือไม่
CPALL : โดนผลกระทบเชิงลบ ทำให้การฟื้นตัวอาจใช้เวลานานมากขึ้น ต่อเนื่องจากผลกระทบจากโครงการ "คนละครึ่ง" บวกกับแนวโน้มที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาช้ากว่าคาด และอาจส่งผลให้แผนการขยายสาขาซะลอลง บวกกับระยะสั้นที่ผลประกอบการยังโดนกดดันจากภาระดอกเบี้ยจ่ายซื้อ TESCO
CPN - MAJOR - CENTEL - ERW - M - AU - ZEN - SPA : คาดว่าจะโดนผลกระทบระยะสั้นจากแนวโน้มการบริโภคที่น่าจะลดลงตามสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศที่กลับมารุนแรงอีกครั้ง ซึ่งน่าจะใช้เวลาสักระยะก่อนที่จะฟื้นกลับมาได้
TMB : คาดแนวโน้มสินเชื่อจะกลับมาเติบโตในเดือน ธ.ค. จากความต้องการ working capital loan ขณะเดียวกัน ธนาคารมีสินเชื่อกลุ่มเปราะบาง SME อยู่ในระดับต่ำราว 7% ของพอร์ต บวกกับการเน้นใช้กลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงบดุลเพื่อรองรับความเสี่ยงจาก NPLS ที่อาจจะเกิดขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของคุณภาพสินทรัพย์จากการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19
หยวนต้ามั่นใจ SET ไม่หลุด 1,400 จุด กระทบจีดีพี 0.9%
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์รายวันว่า จากการระบาดของโควิด-19 ในตลาดกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร ถือเป็นการระบาดในประเทศระลอกที่ 2 อย่างเป็นทางการ และดูรุนแรงกว่ารอบแรกในแง่ของจำนวนผู้ติดเชื้อ แต่ถ้าพิจารณาในแง่ของพื้นที่ยังถือว่าจำกัดบริเวณซึ่งต่างจากรอบแรกที่กระจายทั่วประเทศอยู่พอสมควร สิ่งที่ต้องเฝ้าระวัง คือ การระบาดจะขยายวงกว้างไปยังจังหวัดข้างเคียงหรือลามไปทั่วประเทศหรือไม่ ซึ่งเบื้องต้นประเมินว่าระบบสาธารณสุขไทยยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
อย่างไรก็ดี ผลกระทบเป็นลบต่อ SET INDEX อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะยอดผู้ติดเชื้อเร่งตัวขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และยังไม่ผ่านจุด Peak ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าสามารถควบคุมโรคได้แล้ว แต่จะกดดัน SET INDEX ไม่มากเหมือนรอบแรก เพราะ
(1) หลายประเทศในเอเชียมียอดผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่เช่นกัน (ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย) แต่ตลาดหุ้นของประเทศเหล่านั้นกลับไม่ได้ Underperform ภูมิภาค
(2) พื้นที่การระบาดรอบ 2 ยังจำกัดที่ภาคกลางและภาคเหนือ
(3) แนวทางการควบคุมโรคไม่ได้ล็อกทุกกิจกรรมเศรษฐกิจทั้งประเทศเหมือนรอบแรก ผลกระทบต่อ GDP จึงจำกัด
(4) ยังมีความหวังกับพัฒนาการของวัคซีน โดยเฉพาะ AstraZeneca ร่วมกับ Oxford ที่รัฐบาลไทยลงนามจองวัคซีนไปแล้ว 26 ล้านโดส รวมถึงการทำข้อตกลงกับผู้ผลิตรายอื่นและการทดลองของคณะวิจัยในประเทศด้วย
(5) บุคลากรทางการแพทย์มีความพร้อมในการรับมือ ทั้งประสบการณ์และกระบวนการรักษา
(6) กระแสเงินส่วนเกินจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ FED และ ECB รอไหลเข้า Emerging Market อีกมาก
แย่สุดทำ SET ลงไปแตะ 1,400 จุด กระทบจีดีพี 0.9%
(1) กรณีฐาน - ระบาด 7 จังหวัดรอบสมุทรสาคร (รวมกรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสงคราม นครปฐม ราชบุรี นนทบุรี) สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ใน 14 วัน มีการ Lockdown บางส่วน คาดกระทบ GDP ราว 0.4% ประเมิน Downside ของ SET INDEX ที่ 1,450 จุด
(2) กรณีแย่สุด - การระบาดกระจายไปมากกว่า 7 จังหวัด ยอดผู้ติดเชื้อยังสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง คาดใช้เวลาควบคุมราว 1 เดือน Full Lockdown กรุงเทพฯ 14 วัน คาดกระทบ GDP ราว 0.9% ประเมิน Downside ของ SET INDEX ที่ 1,400-1,420 จุด
(3) กรณีดีที่สุด - ระบาดเฉพาะสมุทรสาคร ส่วนจังหวัดข้างเคียงมีการระบาดประปราย สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ใน 7 วัน Lockdown เฉพาะสมุทรสาคร คาดกระทบ GDP ราว 0.1% ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1,470-1,500 จุด
ประเด็นการแพร่ระบาดรอบ 2 ของโควิด-19 ถือเป็น Sentiment เชิงลบต่อกลุ่มอาหารทะเล ค้าปลีก ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ท่องเที่ยว โรงพยาบาล โรงภาพยนต์ ขนส่ง รับเหมาก่อสร้าง และสถาบันการเงิน แต่เรามองเป็นโอกาสซื้อ เพราะหุ้นเหล่านี้จะฟื้นกลับเร็วเมื่อสถานการณ์คลายตัวเช่นกัน ส่วนชุดหุ้นที่จะเด่นในระยะสั้น (1-3) วันทำการ คือ หุ้นที่เคยได้ประโยชน์จากโควิด-19 เช่น AJ, STGT, SYNEX, TQM, SFLEX หรือกลุ่ม Global Play เช่น PTT, PTTGC และกลุ่ม Defensive เช่น ADVANC, GULF