บล.ทิสโก้แนะอาศัยจังหวะหุ้นย่อรับข่าวโควิด-19 ระบาดรอบใหม่ ช้อนซื้อหุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจ ยังเชื่อมั่นโอกาสระบาดซ้ำและวงกว้างมีน้อย และเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว คาดปีหน้าหุ้นไทยทะลุ 1,500 จุดจากเงินทุนไหลเข้าและกำไร บจ.โต
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr.Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co.,Ltd) เปิดเผยว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครสั่งล็อกดาวน์พื้นที่เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค.2563 จนถึง 3 ม.ค.2564 หลังพบประชาชนติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 548 ราย โดยกว่าครึ่งเป็นแรงงานต่างด้าว นอกจากนี้ในวันต่อมายังมีการรายงานผู้ติดเชื้อจากเคสสมุทรสาครเพิ่มอีก 164 ราย รวมเป็น 694 ราย
ด้านภาคธุรกิจในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เช่น ห้างเซ็นทรัลสมุทรสาคร ประกาศปิดเป็นเวลา 14 วันแล้ว และเริ่มมีข่าวปิดโรงเรียน รวมทั้งการยกเลิกงานอีเวนต์ต่างๆ ที่จะจัดขึ้นในช่วงส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ในพื้นที่อื่นๆ นอกเหนือจากจังหวัดสมุทรสาครด้วย เช่น กรุงเทพมหานครประกาศขอความร่วมมืองดจัดงานปีใหม่ การทำงานที่บ้าน (WORK FROM HOME) และปิดโรงเรียนในสังกัดถึง 4 ม.ค.2564
บล.ทิสโก้ คาดว่าหุ้นที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวโดยตรงมากที่สุด คือ หุ้นที่มีที่ตั้งและธุรกิจอยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร จากการตรวจสอบมีทั้งหมด 13 บริษัท เช่น ASIAN, EKH, M-CHAI, VIH เป็นต้น คิดเป็นประมาณ 2% ของจำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้ง SET และ mai ทั้งหมดที่มีจำนวน 808 ขณะที่รายได้และยอดขาย คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.3% และ 0.4% ของผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 9 เดือนของปี 2563
อย่างไรก็ตาม คาดว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะมีผลกระทบต่อเนื่องต่อบรรยากาศการบริโภคและการท่องเที่ยวภายในประเทศ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก เช่น ห้างสรรพสินค้า ได้แก่ CPN, CRC, HMPRO, GLOBAL, BJC, MAKRO และ DOHOME ในพื้นที่ถูกสั่งปิดชั่วคราว สำหรับร้านสะดวกซื้อ ได้แก่ CPALL เปิดได้ แต่ให้ปิดในช่วงกลางคืน รวมทั้งกลุ่มร้านอาหาร เช่น M, ZEN, AU และ OISHI มีผลกระทบจำกัด เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้โดยรวมเฉลี่ยราว 1-2% เท่านั้น แต่วัตถุดิบอาหารอาจเป็นบวกเล็กน้อย (RBF) จากการกักตุนอาหาร ส่วนกลุ่มเกี่ยวข้องการท่องเที่ยวและเดินทาง เช่น BDMS, BH, AOT, AAV, CENTEL, ERW และ MINT ได้รับผลกระทบเช่นกันจากความระมัดระวังของประชาชนในการเดินทาง ทั้งนี้ จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดว่ารุนแรงยาวนานเพียงใด และกลุ่มแบงก์โดยรวมที่อ่อนไหวกับเศรษฐกิจอาจเผชิญแรงขายระยะสั้นด้วยจากความกังวลเกี่ยวกับ NPL
แต่สำหรับกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัย และหุ้นเทคโนโลยีตามกระแส New Normal จะได้ประโยชน์ อาจมีแรงเก็งกำไรในระยะสั้น เช่น STGT, STA, HANA, KCE, COM7, ILINK, JMT, SIS และ SYNEX รวมทั้งการขายประกัน เช่น TQM และ BLA
โดยสรุป บล.ทิสโก้คาดว่าการแพร่ระบาดรอบใหม่จะกดดันบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องเฝ้าระวังไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย คาด SET Index จะตอบสนองด้วยการปรับตัวลงราว 2-3% ทดสอบแนวรับบริเวณ 1,440-1,450 จุดแต่คาดว่าจะเป็นจังหวะดีในการทยอยสะสม/ซื้อคืน หลังจากที่แนะนำให้นักลงทุนระยะสั้นทยอยขายช่วง SET Index ขึ้นเข้าใกล้บริเวณ 1,500 จุดมาโดยตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้ว
"บล.ทิสโก้มองว่า เป็นเหตุการณ์เพียงชั่วคราว และยังให้น้ำหนักน้อยมากที่จะเกิดการแพร่ระบาดรอบ 2 เป็นวงกว้าง จนนำไปสู่การใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ ขณะที่แนวโน้มกระแสเงินทุนไหลเข้า (Fund Flows) ปีหน้า มองยังเป็นบวกอยู่ จากแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนที่จะเริ่มกลับมาเติบโตอีกครั้งในไตรมาส 1/2564 เป็นต้นไป น่าจะหนุนหุ้นไทยปรับขึ้นได้อีกในระยะถัดไป มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นทะลุระดับ 1,500 จุดในต้นปีหน้า เพราะฉะนั้น นักลงทุนระยะกลาง ยังแนะนำถือทนแกว่ง และหาจังหวะสะสมเพิ่ม" นายอภิชาติ กล่าว
ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ยังชอบหุ้นกลุ่มวัฏจักร (Cyclicals) จะขึ้นนำตลาดในปีหน้า จากประโยชน์ที่ได้รับจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและวงจรเงินดอลลาร์อ่อนค่า สำหรับหุ้น Big Cap แนะนำ BAM, BBL, BDMS และ PTTGC และ หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก (Mid-to-Small Cap) แนะนำ AEONTS, TWPC และ WHA สำหรับหุ้นปันผล แนะนำ INTUCH, KKP, LH, NYT, PROSPECT และ TVO