นายรามี ปีไรแนน ผู้อำนวยการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการทำแผนการดำเนินงาน ซึ่งเบื้องต้นคาดการณ์ว่าผลประกอบการปี 64 จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันยังมีความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนไวรัสโควิด-19 ที่เตรียมจะเริ่มนำออกมาใช้แล้วในบางประเทศ
พร้อมกันนี้ ภาครัฐยังมีงบประมาณที่จะทยอยออกมา เช่น งบกระทรวงสาธารณสุขที่จะส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจเฮลธ์แคร์ของบริษัท รวมไปถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์ เช่น แก้วและกระป๋องที่ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อจากลูกค้า และคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้น และบริษัทยังสามารถหาลูกค้าใหม่เข้ามาชดเชยออเดอร์ของลูกค้าเก่าที่หายไปได้แล้ว ซึ่งคาดว่าจะช่วยหนุนให้มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับทิศทางผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/63 บริษัทคาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 3/63 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 38,239 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,062 ล้านบาท อย่างชัดเจน เนื่องจากทุกกลุ่มธุรกิจ เช่น ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ กลุ่มสินค้าเวชภัณฑ์ และบริหารห้างค้าปลีกบิ๊กซี ยังฟื้นตัวต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย จากที่รับผลกระทบหนักสุดในช่วงไตรมาส 2/63 อย่างไรก็ตาม หากเทียบผลการดำเนินงานกับช่วงเดียวกันปีก่อน อาจได้รับผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังอ่อนตัวอยู่ เพราะกำลังซื้อและกลุ่มท่องเที่ยวยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19
ส่วนแผนในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทเตรียมขยายสาขามินิบิ๊กซี ต่อเนื่องตามเป้าหมายที่วางไว้ ณ สิ้นปี 63 จะมีครบ 240 สาขา หลังจากปัจจุบันขยายไปแล้วสัดส่วนราว 65% ของเป้าหมาย ขณะที่ในช่วงไตรมาส 3/63 บริษัทขยายสาขาบิ๊กซีใหม่จำนวนมาก แบ่งเป็นบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์จำนวน 1 สาขา บิ๊กซี ฟู้ดเพลส จำนวน 2 สาขา มินิบิ๊กซี จำนวน 64 สาขา และร้านขายยาเพรียว จำนวน 3 สาขา และส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 3/63 มีสาขาบิ๊กซีรวมทั้งหมดกว่า 1,511 สาขา แบ่งเป็น สาขาไฮเปอร์มาร์เก็ต 152 สาขา บิ๊กซีมาร์เก็ต 62 สาขา มินิบิ๊กซี 1,153 สาขา (รวมสาขาแฟรนไชส์ 61 สาขา) และร้านขายยาเพรียว 144 สาขา