xs
xsm
sm
md
lg

อสังหาฯ 'รายเล็ก-กลาง' เสริมจุดแกร่ง ต้องแม่นยำดาต้าเบส แบงก์แนะ 'บริหารกำไร-สต๊อก' แข่งบริษัทใหญ่

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพจากบริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กับเรื่องการพัฒนาฐานข้อมูล (ดาต้า) เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ยิ่งในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงเติบโตได้ไม่เต็มที่ และด้วยการต้องยึดติดกับเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน คู่ค้าในแต่ละประเทศด้วยแล้ว ความสมบูรณ์ของดาต้า วิสัยทัศน์ของผู้บริหารบริษัทอสังหาฯ และบุคลากรมีส่วนสำคัญในการที่จะ Run ธุรกิจให้สามารถเดินหน้าฝ่าวิกฤต ยิ่งการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นตัวแปรใหญ่ที่บั่นทอนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก แม้ว่าขณะนี้จะมีความชัดเจนในเรื่อง "วัคซีน" แต่ใช่ว่าจะครอบคลุมไปได้ทั่วโลก แต่ที่แน่นอน พฤติกรรม (ไลฟ์สไตล์) ของลูกค้าได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ตอบสนองต่อการเกิดขึ้นของโควิด-19 โดยเฉพาะในเรื่องความถี่จากการใช้โซเชียลมีเดียในการเสาะหาข้อมูลข่าวสารที่ทะลักเข้ามา

ซึ่งก่อนหน้านี้ ความก้าวล้ำของเทคโนโลยีได้เป็นคลื่นที่ "ดิสรัปชัน" ต่อทุกภาคธุรกิจ รวมถึงภาคอสังหาฯ ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ได้เร่งปรับตัวเพื่อรับการเปลี่นแปลง เพราะเทคโนโลยีจะมีส่วนสำคัญในการ "กระตุ้นดีมานด์" ของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย ยิ่งในยุคโควิด-19 ด้วยแล้ว ความต้องการของผู้บริโภค จะมีการปรับเปลี่ยนอย่างฉับไว

แน่นอน รายใหญ่ย่อมได้เปรียบและเหนือผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็ก ทั้งเรื่องกำลังเงิน บิ๊กดาต้า บุคลากร วอลุ่มของการขยายโครงการที่มาก ทำให้สเกลของการลงทุนมีผลต่อต้นทุนทางธุรกิจที่ลดลง

ดังนั้น อสังหาฯ รายกลางและเล็กต้องปรับตัวให้เข้าถึง "เครื่องมือ" เพื่อการปรับตัวให้ธุรกิจ "รอด"!

หรือแม้แต่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดอสังหาฯ ประเภททรัพย์ "มือสอง" ตัวแทนนายหน้าค้าอสังหาฯ (โบรกเกอร์) ทั้งที่อยู่ภายใต้องค์กร หรือทำงานอิสระ ก็ต้องมองเรื่องดาต้า เพราะนั่นหมายถึงโอกาสในการเข้าถึงผู้ซื้อและผู้ขาย หรือการบริหารห้องชุด หรือบ้านให้เกิดผลตอบแทนที่ดีขึ้น

ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทเอกชนที่ก้าวสู่การเป็น "เซ็นเตอร์" ด้านดาต้าเบส โดยมองเห็นโอกาสในการเจาะกลุ่มลูกค้าบริษัทอสังหาฯ ตัวแทนนายหน้า เพื่อให้เข้าถึงดาต้าเบสที่มีการจัดการ และประมวลผลของข้อมูล กลายเป็น โซลูชันที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ทั้งในฟากของเจ้าของโครงการ นายหน้า รวมถึงภาคสถาบันการเงิน เชื่อมต่อกับ "ผู้ซื้อ" ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยถึงความต่างของบริษัทอสังหาฯ รายกลางและเล็ก กับผู้ประกอบการรายใหญ่ว่า มีหลายประเด็น เช่น ผลกำไรที่ได้จากการดำเนินธุรกิจ ถ้าไม่มากก็มีผลต่อการลงทุน เนื่องจากเงินทุนมีจำกัด หากโครงการมีปัญหาเพียงแค่ 1 โครงการ ก็จะส่งผลกระทบต่อแผนที่จะต้องดำเนินการ ดังนั้น ความแม่นยำของฐานข้อมูล (ดาต้าเบส) เป็นสิ่งสำคัญ

"อย่างเรื่องราคาที่ดิน ก็เป็นดาต้าที่ดี เราจะเห็นความประหลาดที่ว่า ราคาที่ดินมีแต่ขึ้น ถ้าเราซื้อมาแล้วทำโครงการ ขายดี ทำดี ที่ดินจะซื้อใหม่ก็จะแพงทันที อย่างช่วงปลายปี 2562 เหมือนราคาที่ดินจะชะลอตัว แต่ไปๆ มาๆ ราคาปรับขึ้น แม้จะเป็นช่วงโควิด-19 ก็ตาม และรัฐบาลจะมีโปรโมชันลดหย่อนเรื่องจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเหลือร้อยละ 90 ราคาที่ดินก็ไม่ลดลง ยังไม่หลั่งน้ำตา หลายคนก็ไปปลูกอ้อย ปลูกกล้วยกัน ซึ่งปัจจุบันข้อมูลจะมีให้เราเห็น อย่างของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นภาพใหญ่ ย้อนไป 20 ปีที่ผมทำธุรกิจอสังหาฯ ตอนนั้นตาบอดเลย นั่งเทียนในการหาข้อมูล ซึ่งวิธีในอดีตไม่น่าจะใช้ได้แล้ว" นายพรนริศ กล่าว และฉายภาพต่อว่า

การจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด เพื่อขายอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่แนวทางที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดในปีระหว่างปี 2564-2565 เนื่องจากโครงข่ายรถไฟฟ้าในหลายสายจะเสร็จ การลงทุนที่จะเกิดขึ้นคงไม่มีแต่เรื่องที่อยู่อาศัย สุดท้ายโครงการในเชิงพาณิชย์จะเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น

ด้านนายกณิศ อ่ำสกุล เจ้าหน้าที่อาวุโส Business Risk And Macro Research ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวยอมรับว่า ผู้พัฒนาอสังหาฯ ขนาดย่อมและกลางมีความสามารถในการแข่งขันที่โดดเด่นน้อยกว่าขนาดใหญ่ โดยจากค่าเฉลี่ยย้อนหลังไป 3 ปี ของผู้พัฒนาอสังหาฯ (ปี 2560-2562 ของผู้พัฒนาบ้านจัดสรรและอาคารชุด) อัตราการเติบโตของกำไร อสังหาฯ รายใหญ่ (L) ลดลง -4% ขนาดกลาง (M) -10% และขนาดเล็ก (S) -13%

ขณะที่อัตราหมุนเวียนสินค้าคงคลัง จะพบว่า รายใหญ่ใช้เวลาประมาณ 920 วัน ขนาดกลาง 1,300 วัน และรายเล็กนานถึง 1,370 วัน

ส่วนที่สำคัญ คือ เรื่องอัตราส่วนที่บอกถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ 13% รายกลาง 5% ส่วนรายเล็กเพียง 0.5%

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หายไปถึง 1 ใน 3 ซึ่งผู้บริโภคแต่ละกลุ่มมีเหตุผลของการเลื่อนการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปที่แตกต่างกัน เช่น ที่มีรายได้ต่ำกว่า 40,000 บาทต่อเดือน ให้เหตุผลต้องสำรองเงินไว้ใช้กับสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต และมากกว่า 40,000 บาท มองว่า การลงทุนกับอสังหาฯ ในเวลานี้ให้ผลตอบแทนไม่ดีนัก

"ยิ่งในช่วงที่เกิดระบาดของโควิด-19 จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ของผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่เพิ่มขึ้น +40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแนวทางปรับตัวของผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำ จำเป็นต้องศึกษาพฤติกรรมว่า ทำอย่างไรให้ผู้บริโภคเข้าชมโครงการผ่านช่องทางออนไลน์ได้ เช่น การโฆษณาผ่าน Influencer พัฒนาระบบ Virtual Visits ให้ผู้บริโภคสามารถรับชมโครงการได้อย่างเสมือนจริง ยกระดับระบบหลังบ้าน ให้ผู้บริโภคสามารถชำระเงินและดำเนินการเรื่องเอกสารได้อย่างครบถ้วน"

พื้นที่ EEC เหมาะรองรับเป็น "ดาต้าเซ็นเตอร์"

นายอาดัม เบลล์ หัวหน้าแผนกพื้นที่อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ให้ความเห็นถึงธุรกิจด้าต้าเซ็นเตอร์ว่า แม้จีนจะเป็นศูนย์กลางของตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แต่ก็ยังมีผู้เล่นหลักรายอื่นๆ ซึ่งได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และฮ่องกง ซึ่งสำหรับประเทศไทยเองก็พร้อมที่จะเติบโตในตลาดนี้ และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย ประกอบกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและสิทธิประโยชน์พิเศษอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาษีของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI ) จะช่วยจูงใจนักลงทุน ด้วยทำเลที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลางของประเทศไทย ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะขยายการให้บริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ไปยังประเทศที่อยู่โดยรอบ นอกจากนี้ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐนั้น ยังตั้งอยู่ห่างจากสายเคเบิลใต้ทะเลเพียง 30 กิโลเมตร และอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 100 เมตรซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม

จากข้อมูลของแผนกวิจัยซีบีอาร์อี พบว่า ผู้เล่นรายใหญ่ เช่น เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ต่างกำลังคาดการณ์ว่า ความปกติใหม่หรือวิถีแบบ New Normal จะยังคงขับเคลื่อนการเติบโตด้านความต้องการดาต้าเซ็นเตอร์ การร่วมทุนของเฟรเซอร์สฯ กับเอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ จะทำให้มีพื้นที่ 30,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ในเฟสแรกสำหรับกลุ่มลูกค้าอย่างผู้ให้บริการคลาวด์ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซและสถาบันการเงิน นอกจากนี้ บริษัท เคที คอร์ปอเรชั่น ของเกาหลีใต้ ยังวางแผนที่จะค่อยๆ เข้าสู่ตลาดไทยภายในครึ่งหลังของปี 2564 และให้บริการด้วยมาตรฐานระดับสูงแก่บริษัทคลาวด์ทั่วโลก

แต่กระนั้น ทางซีบีอาร์อี ยังมองไปข้างหน้าว่า ดาต้าเซ็นเตอร์ยังเป็นสินทรัพย์ที่ค่อนข้างใหม่และยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในตลาด จึงยังต้องรอดูว่าศักยภาพสูงสุดและวัฏจักรของดาต้าเซ็นเตอร์ในตลาดอสังหาฯ ของไทยจะเป็นอย่างไร


'ไอคอน เฟรมเวิร์ค' คัดระบบช่วยอสังหาฯ ขนาดย่อม

นายวรรณเทพ หรูวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอคอน เฟรมเวิร์ค จำกัด ผู้พัฒนาระบบ Real Estate Management Platform เพื่อรองรับการทำงานของธุรกิจอสังหาฯ โดยเฉพาะ ภายใต้ชื่อ ICON REM (Real Estate Management) กล่าวว่า ภายใต้ความเปราะบางของเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่ส่งผลกระทบในทุกภาคส่วน บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมกับภาคธุรกิจอสังหาฯ ในปี 2564 ซึ่งได้เปิดตัวระบบใหม่เพื่อผู้พัฒนาอสังหาฯ ขนาดย่อมโดยเฉพาะ ซึ่งเหมาะกับผู้ประกอบการที่มีอัตราการขยายโครงการจำนวนที่ไม่มากต่อปี ก็สามารถมีระบบสำหรับบริหารงานขาย จอง โอน รับเงิน ที่มีมาตรฐานภายใต้ชื่อระบบ ICON REM Lite ระบบบริหารงานขายแบบครบวงจร เพื่อธุรกิจอสังหาฯ ขนาดย่อม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้องค์กรโดยไม่ต้องลงทุนด้านเซิร์ฟเวอร์ และบุคลากรด้าน IT แต่ต้องการระบบบริหารจัดการที่มีมาตรฐาน ถูกต้องและตรวจสอบได้ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต เช่น

Customer Portal บริการลูกบ้านผ่าน Line OA เพียงแค่ Add Friend ก็จะช่วยให้ลูกบ้านได้รับการบริการ จะชำระเงิน/ใบเสร็จรับเงินออนไลน์ แจ้งซ่อม บริการสำหรับ Visitor เข้า-ออกโครงการผ่านระบบ QR Code ก็สะดวกสบาย เหมือนมีธนาคารหรือช่างประจำอยู่ที่บ้านเลย

Real-Time Executive Dashboard รายงานเชิงลึกสำหรับผู้บริหาร ที่ผ่านการประมวลผลและสรุปให้อยู่ในรูปแบบและมุมมองที่ง่ายต่อการตัดสินใจ สามารถนำมาวิเคราะห์ และวางแผนเชิงกลยุทธ์ ช่วยให้การตัดสินใจมีความรวดเร็ว แม่นยำมากยิ่งขึ้น

และ Customer Experience Management ระบบบริหารจัดการความพึงพอใจลูกค้า ที่จะช่วยสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าจากช่องทางต่างๆ พร้อมทั้งสรุปผลข้อมูล ให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ สามารถนำไปปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการได้ทันที

"ตลอดระยะเวลา 13 ปีที่บริษัทฯ ได้เปิดดำเนินการและพัฒนาระบบ CRM เป็นรายแรกของประเทศไทย มีบริษัทอสังหาฯ ใช้งานระบบของบริษัทฯ กว่า 70 ราย โดยที่บริษัทฯ เป็นผู้ดูแลระบบการบริหารงานขายแบบครบวงจรครอบคลุมตั้งแต่งานขาย งานโอน งานก่อสร้าง และงานด้านบัญชี ซึ่งเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2563 ได้เปิดตัวระบบ ICON Digital Mortgage ระบบขอสินเชื่อออนไลน์อัตโนมัติ เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภค ลดขั้นตอนความยุ่งยากด้านเอกสารในการขออนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือระบบการ Lean System ในธุรกรรมและธุรกิจอสังหาฯ สามารถติดตามสถานะการพิจารณาการขอสินเชื่อได้แบบ Real Time"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทอสังหาฯ ในต่างจังหวัดยังมีอยู่กว่า 1,000 บริษัท ธุรกิจเหล่านี้ แม้จะเปิดเพียง 2-3 โครงการต่อปี ก็ยังมีความต้องการระบบที่มีมาตรฐานให้แก่องค์กร ขณะที่บริษัทรายใหญ่แต่ละองค์กร รูปแบบหรือวิธีการที่ต้องการข้อมูลจากการใช้ระบบของบริษัทจะมีความต่างกัน เช่น บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ให้น้ำหนักตรวจสอบ (สกรีน) ข้อมูลลูกค้าเป้าหมาย เป็นการมองในเชิงคุณภาพของลูกค้ามากกว่าปริมาณ หรือแม้แต่โครงการร่วมทุน (เอพี+ญี่ปุ่น) ทางพันธมิตรจะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการออกแบบโครงการ แต่ในส่วนของไอคอน จะมาเสริมในเรื่องการบริหาร Cost ก่อสร้างให้เหมาะสมกับการออกแบบ

"อาจจะมีคำถามว่า แล้วระบบที่ทางบริษัทให้บริการจะการันตีถึงโอกาสที่เจ้าของโครงการจะได้รับความน่าเชื่อจากสถาบันการเงินหรือไม่นั้น จริงๆ ในต่างประเทศ เช่น ในประเทศจีน ตัวระบบที่เกี่ยวกับอสังหาฯ นั้นจะไม่ถูกโยงกับเครดิตบูโร แต่สถาบันการเงินของจีนจะมองเรื่องของ Transaction เงินของลูกค้าเป็นอย่างไร"



ธุรกิจโบรกเกอร์พัฒนา 'บิ๊กดาต้า' เสริมจุดแกร่งดีเวลลอปเปอร์รายเล็ก-รายใหม่

นายสรังสี นันทพิศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์ต ออฟ ลิฟวิ่ง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ในการดำเนินธุรกิจการซื้อขายอสังหาฯ มือสองเป็นหลัก (โบรกเกอร์) ของคนไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์ตลาดบ้านมือสองที่มีการเปลี่ยนแปลง การแข่งขันที่รุนแรง ประกอบกับผลจากโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจ ทำให้บริษัทฯ ต้องขยายขอบข่ายเพิ่มไลน์ธุรกิจใหม่ โดยเข้าไปรับงานขายโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งประเภทโครงการบ้านจัดสรร และโครงการคอนโดฯ มือหนึ่งเพิ่มเติม (Project Sale) ซึ่งรูปแบบจะมีความแตกต่างกับการขายบ้านมือสอง ตรงที่การบริหารโครงการใหม่จะให้ความสำคัญในเรื่อง การวิจัย (Research) และการศึกษาความเป็นไปได้ของทั้งโครงการ (Feasibility) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน เช่น การใช้ Big Data เพื่อให้เกิดความถูกต้องและแม่นยำในการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการที่บริษัทเข้าไปมีส่วนรวมในการบริหาร ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในเรื่องการค่าการตลาด ต้นทุนบริหารและระยะเวลาในการปิดโครงการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยสามารนำมาใช้งานได้ตั้งแต่เริ่มแนวคิดการพัฒนาโครงการ กลุ่มของผู้ซื้อโครงการ

ทั้งนี้ บริษัทได้มีความร่วมมือกับ Data Tech Academy ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารข้อมูลในการพัฒนาระบบ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของการสร้างความได้เปรียบในธุรกิจโบรกเกอร์ คือ เรื่องของความลึกของข้อมูล เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"ความได้เปรียบของเราคือ เรายืดหยุ่นและคล่องตัวมากกว่า ทำให้สามารถแทรกเข้าไปตลาดการบริหารการสำหรับลูกค้าโครงการที่มีขนาดกลางและเล็ก หรือมีงบประมาณจำกัดได้ ซึ่งแบรนด์กลุ่มอินเตอร์แบรนด์ จะไม่เข้ามาจับกลุ่มลูกค้ารายใหม่มากนัก เนื่องมาจากงบประมาณ และ Scale ของลูกค้าไม่ได้ใหญ่มากพอ ซึ่งการนำข้อมูลเข้ามาขับเคลื่อนองค์กรให้แก่ลูกค้านั้น จะนำมาใช้ตั้งแต่ต้นน้ำของกระบวนการทำงานทางด้านอสังหาฯ ตั้งแต่ช่วยผู้พัฒนากำหนด และนิยามกลุ่มเป้าหมายที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น และเข้าใจพฤติกรรมผู้จะซื้อได้เป็นอย่างดี รวมถึงขั้นตอนในกระบวนการต่อมา ไม่ว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ซื้อ เช่น มี AI มาช่วยในการสร้าง Chatbot เพื่อตอบคำถามแก่ลูกค้าอย่างรวดเร็ว และอาจจะรวมถึงการสร้าง Solution ใน Life Style สมัยใหม่ ที่ทำให้ลูกค้าเกิด Customer Experience อีกระดับหนึ่ง"

นายภูวนัย ภัทรโภคิณ
ส่องดีมานด์ผ่านตลาดอสังหาฯ ออนไลน์ยุค New Normal

นายภูวนัย ภัทรโภคิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร/ผู้ก่อตั้ง บริษัท ลิฟวิ่ง อินไซเดอร์ จำกัด กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อหลายภาคธุรกิจจนถึงขั้นที่อาจต้องยุติหรือเลิกกิจการไปเป็นจำนวนมาก แต่ในส่วนของแพลตฟอร์มออนไลน์อสังหาฯ กลับดำเนินไปในทิศทางที่ตรงข้ามและสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยภาพรวมตลาดแพลตฟอร์มออนไลน์ในตอนนี้ นอกจากจะเห็นการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้คนมากขึ้นแล้ว ในอนาคตอาจจะเห็นอะไรที่ออกมาแก้ Pain Point ของผู้คนได้อีกเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ด้วยฐานข้อมูลของแพลตฟอร์มออนไลน์ Livinginsider ที่มีตัวเลขยอดการเข้าใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 1 ล้านคนต่อเดือน และมีการเข้าดูอสังหาฯ หน้าต่างๆ ในเว็บไซต์รวมกันมากกว่า 4 ล้านครั้งต่อเดือน ได้กลายเป็นดาต้า ที่ใหญ่และสามารถบ่งชี้ถึงพฤติกรรมของผู้ใช้ออนไลน์และเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ โบรกเกอร์ ภาคสถาบันการเงิน เอเยนซีโฆษณา หรือบริษัทผู้ผลิตสินค้าต่างๆได้เป็นอย่างดี

โดยข้อมูลจาก Livinginsider จะพบว่า ระหว่างโควิด-19 ต่อเนื่องมาก การเข้าคลิกหาข้อมูลที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา (Search For Rent) สูงอย่างต่อเนื่อง จนไปถึง 2 ล้านเพจวิว ขณะที่การหาข้อมูลเพื่อซื้ออสังหาฯ กลับอยู่ในช่วงขาลง ขณะที่ผู้ที่เข้ามาหาอสังหาฯ ในเมืองก็จะมองหาคอนโดฯ เป็นหลักสูงถึงทะลุ 3 ล้านเพจวิว ส่วนการมองหาบ้านในเมือง แม้จะไม่สูงเท่า แต่ระดับการค้นหาเกือบ 1 ล้านเพจวิว เนื่องจากปริมาณของบ้านในเมืองจะสร้างน้อยกว่าคอนโดฯ

ซึ่ง 10 ทำเลที่มีการค้นหาคอนโดฯ ในเมืองในปี 2563 จะมีการเปลี่ยนแปลงจากปีที่ผ่านมา แต่อันดับ 1 ยังคงเป็นทำเลอ่อนนุช อุดุมสุข และพระโขนง แต่อันดับ 2 กลับมาเป็นพระราม 9 เพชรบุรีตัดใหม่ ส่วนอันดับ 3 ทำเลสุขุมวิท อโศก ทองหล่อ หล่นลงมาจากอันดับ 2 ขณะที่อันดับ 4 และ 5 ยังคงเหมือนในปีที่ผ่านมา ได้แก่ รัชดาภิเษก ห้วยขวาง สุทธิสาร บางนา สรรพวุธ ลาซาล เป็นต้น

สิ่งที่น่าสนใจ คือ การค้นหาในทำเลใหม่ๆ (New Entry) ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 63 พบว่า คอนโดฯ เส้นแนวรถไฟฟ้า BTS จะมียอดการเข้ามาค้นหาจำนวนมาก ได้แก่ อันดับ 1 BTS ห้าแยกลาดพร้าว BTS พหลโยธิน 24 BTS เสนานิคม BTS ม.เกษตรศาสตร์ และ BTS รัชโยธิน เป็นต้น

ก่อนหน้านี้ นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ดินห้าแยกลาดพร้าว ราคาปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 33% ต่อปีต่อเนื่องมาตลอด 5 ปี และบริษัทฯ มีคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ LIFE (ไลฟ์) เปิดตัวในย่านนี้จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 14,400 ล้านบาท จะมาตอบโจทย์อินไซต์จริงของลูกค้ากลุ่ม ‘อะแดปทีฟ เจเนอเรชัน’ (Adaptive Generation) คนเมืองรุ่นใหม่วัยทำงานที่มีเป้าหมายในการใช้ชีวิต (Life Purpose) พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบ

ขณะที่ผู้ซื้อที่ต้องการลงทุนในการปล่อยเช่าและขายต่อ ให้ความสนใจในตลาดโซนนี้ไม่แพ้กัน เพราะผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าระยะยาว (Rental Yield) ของคอนโดฯ เติบโตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 4-5% ซึ่งนับว่าราคาคอนโดฯในทำเลนี้ยังเหมาะสมในการซื้อทั้งเพื่ออยู่อาศัย และเพื่อการลงทุนระยะยาว

ดังนั้น หากผู้ประกอบการสามารถเข้าถึง หรือ มีบิ๊กดาต้าที่พร้อม นั่นก็คือ โอกาสและความสำเร็จในการพัฒนาโครงการได้อย่างแม่นยำ เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบัน จะเป็น Gen คนรุ่นใหม่ที่อาจจะไม่มีความจงรักภักดีในแบรนด์มากเท่ากับ Gen ที่ผ่านมา


กำลังโหลดความคิดเห็น