KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ปรับการคาดการณ์ GDP ขึ้นจากที่คาดไว้เดิมสำหรับปี 2563 และ 2564 โดยการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ส่งผลด้านบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก 2 เรื่องหลัก คือ การประกาศความสำเร็จของการทดลองวัคซีน COVID-19 ขั้นต้น ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจให้แก่นักลงทุนได้ระดับหนึ่ง และตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ที่ฟื้นตัวดีกว่าที่ประเมินไว้จึงปรับประมาณการตัวเลขการเติบโตของ GDP สำหรับปี 2563 จาก -9% มาอยู่ที่ -6.7% แต่อย่างไรก็ตาม ยังคาดว่าการฟื้นตัวในระยะต่อไปจะยังคงเป็นไปได้อย่างช้าๆ ตามการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่ยังไม่กลับมา ขณะที่ปี 2564 ได้ปรับตัวเลขการเติบโต GDP เล็กน้อยจาก 3.4% เป็น 3.5% และเชื่อว่าระดับ GDP จะยังต่ำกว่าระดับก่อน COVID-19 จนถึงต้นปี 2565
ทั้งนี้ ประเด็นการค้นพบวัคซีนช่วยลดความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ไม่เปลี่ยนภาพการท่องเที่ยวของไทยจากที่เคยประเมินไว้ โดยการค้นพบวัคซีนในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้สอดคล้องกับสมมติฐานที่ KKP Research ได้ประเมินไว้ว่าวัคซีนจะเริ่มออกใช้ได้ในประเทศเศรษฐกิจหลักในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ของปีหน้า ภายใต้สมมติฐานว่าวัคซีนที่ออกใช้สุดท้ายแล้วมีประสิทธิผล 80% และประเมินว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 7 เดือน จึงจะสามารถฉีดวัคซีนได้เพียงพอจนหยุดยั้งการระบาดได้ และหากวัคซีนมีประสิทธิภาพต่ำกว่าที่คาด เช่น ที่ระดับ 60% อาจต้องใช้เวลาถึง 10 เดือน
ส่วนประเทศไทยอาจต้องรอถึงไตรมาส 3 และ 4 ของปีหน้ากว่าจะได้รับวัคซีนเพื่อใช้ในวงกว้าง และรัฐบาลไทยจะยังคงให้น้ำหนักกับนโยบายด้านสาธารณสุขเป็นหลัก หากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในต่างประเทศยังไม่สิ้นสุดลง รัฐบาลไทยอาจยังคงไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติอย่างเสรี ตามแรงกดดันจากภาคประชาชนจนกว่าจะเห็นการแพร่ระบาดลดลงมากอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะเดียวกัน ในด้านของจีนก็มีความเสี่ยงที่รัฐบาลจีนอาจพยายามให้คนจีนเที่ยวในประเทศแทนการออกมาเที่ยวต่างประเทศ ตามแผนเศรษฐกิจห้าปีของจีนที่เพิ่งประกาศออกมาไม่นานมานี้ (China’s five-year plan) ที่มุ่งเน้นการเติบโตจากในประเทศ ดังนั้น ประเมินว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับเข้ามาในประเทศไทยได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 และคงการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวสำหรับหน้าไว้ที่ 6.4 ล้านคน
สำหรับเศรษฐกิจภายในประเทศตัวเลข GDP ในไตรมาส 3 ที่ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเติบโตได้ดีกว่าที่ทั้งตลาดและ KKP Research ประมาณการไว้มาก ปัจจัยหลักเกิดจากภาคการบริโภคภาคเอกชนมีการฟื้นตัวดีกว่าคาดมากในไตรมาส 3 หดตัวเพียง 0.6% เท่านั้น (เทียบกับการหดตัว -6.8% ในไตรมาสที่ 2 ) โดยคาดว่าการบริโภคในปี 2564 น่าจะกลับมาเติบโตได้ที่ระดับ 3% ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศที่ดีกว่าที่ประเมินไว้ ประกอบกับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศอย่างเราเที่ยวด้วยกัน ที่ขยายไปถึงเดือนมกราคม 2564 และมีแนวโน้มจะขยายเวลาเพิ่มเติมไปอีก รวมถึงการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐขยายตัวมากกว่าคาด โดยเป็นปัจจัยเดียวที่ยังคงเป็นแรงส่งทางด้านบวกให้แก่เศรษฐกิจตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ โดยภาครัฐจะยังต้องมีการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงปีนี้และปีหน้า ในฝั่งนโยบายการเงินคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังคงอยู่ที่ระดับ 0.5% ไปตลอดทั้งปี
ทั้งนี้ แม้ว่าการเติบโตของ GDP ในไตรมาส 3 จะดีกว่าคาด แต่แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะยังคงเป็นไปอย่างเปราะบาง และแตกต่างกันมากในแต่ละอุตสาหกรรมและพื้นที่ ตามการท่องเที่ยวที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงที่จะโตได้ต่ำกว่าที่ประเมินไว้อยู่มาก โดยขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนในอย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยวยังคงต้องรับมือกับปัญหาสภาพคล่องและอาจส่งผลรุนแรงต่อภาวะจ้างงานและการบริโภค และในกรณีที่นักท่องเที่ยวกลับมาน้อยกว่าที่คาด KKP Research ประเมินว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะรุนแรงขึ้นแบบทวีคูณ หมายถึงไม่ใช่เฉพาะรายได้จากการท่องเที่ยวที่หายไปเท่านั้น เพราะจะมีธุรกิจต่างๆ ที่เป็นธุรกิจต่อเนื่องทั้งต้นน้ำและปลายน้ำของธุรกิจการท่องเที่ยวจะต้องปิดกิจการลงไป ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องกับทั้งการบริโภค การลงทุน และทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ช้ากว่าที่ประเมินไว้มาก โดยอาจเติบโตได้ในระดับต่ำกว่า 1% เท่านั้น
ขณที่เงินบาทที่แข็งค่าอาจเป็นปัจจัยฉุดรั้งการฟื้นตัวของการส่งออกในปีนี้ แม้ว่าจะมีการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจคู่ค้าหลักของไทยทั้งสหรัฐฯ และจีนจะฟื้นตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้ในปีหน้า แต่ยังค่อนข้างน่ากังวลว่าในสถานการณ์ที่ไทยแข่งขันได้ยากอยู่แล้ว ประกอบกับค่าเงินบาทที่เริ่มกลับมามีทิศทางแข็งค่าเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่ง หากยังมีการแข็งค่าต่อเนื่องจะเริ่มทำให้รายได้ของผู้ส่งออกถูกกระทบ อย่างไรก็ตาม ทิศทางของค่าเงินบาทยังขึ้นอยู่กับมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะออกมาเพิ่มเติมด้วย และอีกปัจจัยเป็นกรณีของความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ สถานการณ์การเมืองในประเทศจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่กระทบต่ออุปสงค์ในประเทศและชะลอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากปัจจัยเชิงโครงสร้างหลายประการที่ทำให้ไทยเสียความสามารถในการแข่งขันและความน่าดึงดูดในการเป็นเป้าหมายของการลงทุนจากต่างประเทศ KKP Research ประเมินว่า นโยบายเศรษฐกิจทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลังยังมีศักยภาพในการดำเนินการเพิ่มเติมได้ และรัฐบาลควรมีนโยบายเพื่อรองรับความเสี่ยงหลายประการที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า เพื่อประคับประคองธุรกิจ สร้างงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจ จนกว่าสถานการณ์ในสังคมและเศรษฐกิจโลกและไทยจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติช่วงก่อนวิกฤต COVID-19 ได้ในไตรมาส 1 ปี 2565 และใช้เวลานานกว่านั้นเพื่อกลับไปสู่ระดับศักยภาพของเศรษฐกิจ (potential GDP)