STGT ไตรมาส 3/63 กำไร 4.4 พันล้าน เพิ่มขึ้น 4,113% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ด้านบอร์ดไฟเขียวแตกพาร์เหลือ 0.50 บาทจาก 1 บาท จ่ายปันผล 1.25 บาทต่อหุ้น พร้อมศึกษาจดทะเบียนสองตลาด (Dual Listing) ที่ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ หากยื่นคาดเข้าเทรดเสร็จภายไตรมาส 2/64
บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2563 มีกำไรสุทธิ 4,401.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,113% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 123.48 ล้านบาท จากความต้องการถุงมือยางที่เติบโตโดดเด่น เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้งวด 9 เดือน 2563 มีกำไรสุทธิ 5,880.58 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 453.25 ล้านบาท
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) วันที่ 13 มิ.ย.2563 อนุมัติเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) เป็น 0.5 บาท จากเดิม 1 บาท ส่งผลให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 2,857.56 ล้านหุ้น จากเดิมที่ 1,434.78 ล้านหุ้น พร้อมอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวด 1 ม.ค.-30 ก.ย.2563 ในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งหมด1,785.97 ล้านบาท กำหนดจ่าย 9 ธ.ค.นี้
นอกจากนี้ อนุมัติเข้าทำการศึกษาเตรียมนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Secondary Listing by way of Introduction) บนกระดานหลัก (Main Board) ของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์) โดยบริษัทฯ จะไม่มีการออกและเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์จะส่งผลให้เกิดการขยายฐานของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ให้มีความหลากหลาย และทำให้บริษัทฯ มีช่องทางในการระดมทุนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต รวมทั้งเป็นการสร้างชื่อเสียง และทำให้บริษัทฯ เป็นที่รู้จักมากขึ้นในภูมิภาค หากบริษัทฯ ดำเนินการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ บริษัทฯ คาดว่าการจดทะเบียนดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564
อย่างไรก็ตาม การศึกษาและเตรียมการสำหรับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นและอยู่ภายใต้ปัจจัยอื่นๆ อีกหลายประการ ซึ่งรวมถึงการหารือและการได้รับอนุมัติต่างๆ จากตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยบริษัทฯ จะประกาศให้ผู้ถือหุ้นทราบต่อไปตามความเหมาะสม เมื่อมีความคืบหน้าที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนดังกล่าว เช่น แผนระยะเวลาของการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ข้อกำหนดเพิ่มเติมของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ที่บริษัทฯ หรือกรรมการต้องปฏิบัติตาม ค่าใช้จ่ายสำคัญที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ได้รับการอนุมัติ บริษัทฯ จะต้องดำเนินการต่อไปนี้ 1) จัดให้มีการเปิดเผยข้อมูลและเอกสารต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ในเวลาเดียวกัน และ 2) จัดให้มีกลไกการโอนหุ้น เพื่อให้หุ้นของบริษัทฯ ซึ่งเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนบนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์สามารถโอนระหว่างตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 2 ตลาดได้
ทั้งนี้ จำนวนหุ้นของบริษัทฯ ที่จะมีการซื้อขายบนตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ภายหลังการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์เสร็จสิ้น จะขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อาจโอนไปยังตลาดหลักทรัพย์สิงคโปรเพื่อทำการซื้อขายต่อไป
บริษัทฯ จะเข้าซื้อหุ้นสามัญบริษัท พรีเมียร์ซิสเต็มเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (PSE) ประกอบธุรกิจออกแบบผลิตจำหน่าย ติดตั้ง และบำรุงรักษาเครื่องจักร จำนวน 419,996 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 83.9992 ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของ PSE จากบริษัทศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือSTA และซื้อหุ้นจำนวน 80,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16 ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของ PSE จากบริษัท รับเบอร์แลนด์โปรดักส์ จำกัด หรือ RBL รวมเป็นจำนวนทั้งหมด 499,996 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนรวมร้อยละ 99.99 ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของ PSE ในราคาซื้อขายรวมทั้งสิ้น1,120 ล้านบาท
รวมถึงเข้าซื้อหุ้นบริษัท สะเดา พี.เอส.รับเบอร์ จำกัด (PS) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน จาก STA จำนวน 399,994 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.99 ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของ PS ในราคาซื้อขายรวมทั้งสิ้น 147 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯ จะเข้าซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจาก ANV เป็นพื้นที่จำนวน 3 แปลงติดต่อกัน โดยมีเนื้อที่รวม 34 ไร่ 1 งาน 0.7 ตารางวา จังหวัดสงขลา เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการขยายกำลังการผลิตโรงงานถุงมือยางสาขาสะเดา จังหวัดสงขลา ในราคาซื้อขายทั้งสิ้น 69,210,000 บาท บริษัทฯ จะเข้าซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจาก STA จำนวน 12 แปลง โดยมีเนื้อที่รวม 334 ไร่ 6.2 ตารางวา จังหวัดชุมพร เพื่อใช้เป็นที่ตั้งสำหรับโรงงานผลิตถุงมือยางในพื้นที่อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ในราคาซื้อขายทั้งสิ้น 177,470,000 บาท