ราคาน้ำมันสัญญาสหรัฐฯลดลงในวันจันทร์(31ส.ค.) แม้ข้อมูลเศรษฐกิจจีนแข็งแกร่งและดอลลลาร์อ่อนค่า ปัจจัยหลังนี้ผลักทองคำปรับขึ้น ขณที่วอลล์สตรีทปิดผสมผสาน โดยแนสแดคได้แรงหนุนจากหุ้นแอปเปิล
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 36 เซนต์ ปิดที่ 42.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 53 เซนต์ ปิดที่ 45.28 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันลดลง แม้ผลสำรวจที่เผยแพร่ในวันจันทร์(31ส.ค.) พบภาคบริการของจีนเติบโตในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบกว่า 2 ปีครึ่งในเดือนสิงหาคม โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคบริการ อยู่ที่ระดับ 55.2 ในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจากระดับ 51.1 ในเดือนกรกฏาคม หลังรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการสกัดการแพร่ระบาดโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(โควิด-19) อนุญาตให้สถานบันเทิงกลับมาให้บริการอีกครั้งเมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา
ส่วนราคาทองคำในวันจันทร์(31ส.ค.) ปิดบวก ได้แรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่า โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 3.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,978.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดผสมผสาน โดยเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติตลอดทั้งเดือนสิงหาคม ปรับขึ้นคิดเป็นเปอร์เซ็นต์มากสุดในรอบกว่า 3 ทศวรรษ แม้ปิดลบในวันจันทร์(31ส.ค.) ส่วนแนสแดคดีดตัว ได้แรงหนุนจากกลุ่มหุ้นที่กำลังบินสูง อย่างแอปเปิล อิงค์
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 223.82 จุด (0.78 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 28,430.05 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 7.70 จุด (0.22 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,500.31 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 79.82 จุด (0.68 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 11,775.46 จุด
คำสัญญาของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ว่าจะอดทนกับอัตราเงินเฟ้อและคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำไป รวมถึงพัฒนาการในด้านบวกของการผลิตวัคซีนและแนวทางรักษาโควิด-19 และการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ช่วยดันเอสแอนด์พี 500 และ แนสแดค ทุบสถิติสูงสุดตลอดกาลหลายรอบในเดือนสิงหาคม
อย่างไรก็ตามตลาดถูกฉุดจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยยอดผู้ติดเชื้อทั่วสหรัฐฯพุ่งเกิน 6 ล้านคนแล้วในวันอาทิตย์(30ส.ค.) ในขณะที่หลายรัฐทางตะวันตกตอนกลาง รายงานพบเห็นผู้ติดเชื้อที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แนสแดค จบการซื้อขายของวันจันทร์(31ส.ค.) ด้วยการอยู่เหนือระดับสูงสุดตลอดกาลก่อนหน้าเกิดวิกฤตโควิด-19 เกือบๆ 20% ขณะที่หุ้น2 ตัวหลักที่สนับสนุนแนสแดค ก็คือแอปเปิล อิงค์ และเทสลา อิงค์ หลังจากทั้งสองบริษัทแตกพาร์หุ้น
ที่มา - รอยเตอร์/มาร์เก็ตวอตช์