สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น อวดกำไรไตรมาส 3 โตต่อเนื่องแตะ 462 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 670% จากช่วงเดียวกันที่ขาดทุน 81 ล้านบาท “ชนินทร์ เย็นสุดใจ” ประธานบอร์ด ชี้ผลจากการซื้อกิจการสายไฟฟ้าเวียดนาม ตามความต้องการสินค้าเติบโตตามโครงสร้างพื้นฐานทั้งของภาครัฐและเอกชน
นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 462 ล้านบาท เติบโต 543 ล้านบาท หรือ 670.3% เทียบช่วงเดียวกันปี 2562 ที่ขาดทุนสุทธิ 81 ล้านบาท และเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ที่มีกำไรสุทธิ 440.49 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือน มีกำไรรวม 1,164 ล้านบาท เติบโต 1,112 ล้านบาท หรือ 2,138% เทียบช่วงเดียวกันที่มีกำไร 62 ล้านบาท
"ไตรมาส 3 ปีนี้เรามีรายได้หลัก 4,655 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือน 11,917 ล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการรับรู้ผลการดำเนินงานของกิจการสายไฟฟ้าเวียดนาม และโครงการภาครัฐ เอกชนในไทย และเวียดนามที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่นโครงการนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน การอัปเกรดขนาดสายไฟเพื่อรองรับการเติบโตของชุมชน และพัฒนาระบบสายส่งไฟฟ้า" นายชนินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ STARK มุ่งเน้นกลุ่มสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง โดยเฉพาะกลุ่มสายไฟแรงดันระดับกลางจนถึงระดับสูงพิเศษที่มีการเติบโตสูงเพื่อรองรับโครงการต่างๆ ของภาครัฐและเอกชน ส่งผลให้ธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิลในประเทศไทย จากเฟ้ลปส์ ดอด์จ (PDITL) ซึ่งไตรมาส 3 นี้เติบโต 2.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
นอจากนี้ ผลดีจากการซื้อกิจการสายไฟฟ้าเวียดนาม ถือเป็นวัคซีนทำให้ STARK ไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งหลังจากซื้อกิจการแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมาดีทั้งเรื่องอำนาจการต่อรอง เช่น การซื้อวัตถุดิบ ทำให้มีต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลง การชำระเงินที่ยาวขึ้น รวมทั้งกระบวนการผลิตที่ต่ำลงด้วย เนื่องจากเวียดนามมีต้นทุนแรงงาน และพลังงานที่ต่ำกว่าไทย
"ผลการดำเนินงานของ STARK เริ่มรับรู้ดีขึ้น จากการซื้อธุรกิจสายไฟฟ้าในเวียดนาม ในเชิงปริมาณและต้นทุน อำนาจต่อรองการซื้อวัตถุดิบ รวมไปถึงช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าที่เข้าถึงมากขึ้น ดังนั้น แนวโน้มไตรมาส 4 และปีต่อๆ ไป จะส่งผลต่อยอดขายและรายได้ที่เติบโตขึ้นทุกปี ตามโครงสร้างพื้นฐานของลูกค้าภาครัฐและเอกชน ทั้งสายพลังงาน ไฟฟ้า และเทคโนโลยี"
ทั้งนี้ ณ งบไตรมาส 3/2563 บริษัท สตาร์คฯ มี Ebitda Margin เฉพาะจากการดำเนินงาน ไม่นับรายการพิเศษ เพิ่มขึ้นเป็น 17.3% จาก 10.6% ในช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะเน้นกลุ่มสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง และนโยบายควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการบริหารจัดการร่วมกันของกลุ่มบริษัทอย่างมีระบบ
นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง อัตราหนี้สินต่อทุนลดลงเหลือ 0.9 เท่าในไตรมาส 3 นี้ คาดว่าจะลดลงต่อเนื่องจากการคืนเงินกู้ และการเจรจาขอลดดอกเบี้ยลง 1-1.5% จากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย หักด้วยเงินสดในปัจจุบันเท่ากับ 1.2 หมื่นล้านบาท อีกทั้งการแก้ไขการกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด ส่งผลให้ฟรีโฟลทเพิ่มขึ้นเป็น 20.84% ณ วันที่ 4 พ.ย.2563