xs
xsm
sm
md
lg

ตลท. มอง SET Index พุ่งตามทิศทางตลาดโลก รับ “ไบเดน” นั่ง ปธน.สหรัฐฯ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตลท. มอง SET Index พุ่งตามทิศทางตลาดโลก รับ “ไบเดน” นั่งปธน.สหรัฐฯ  พร้อมเล็งใช้โมเดล BOI ให้สิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับหุ้นไอพีโอ

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีความชัดเจน มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่า 5% เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าไทยจะได้รับประโยชน์จากการการส่งออกและการท่องเที่ยวที่จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวมากขึ้น สอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างๆ ทั่วโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน พร้อมมองว่าการที่นายโจ ไบเดน เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่จะทำให้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนผ่อนคลายลง เพราะนโยบายของไบเดน ค่อนข้างที่จะเป็น Globalization มากกว่า เชื่อจะส่งผลดีต่อการค้าขายของโลกและการท่องเที่ยวได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะออกแพกเกจชุดใหญ่ในปี 2564 นอกจากนี้ นโยบายของนายโจ ไบเดน ที่ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งจะทำให้กลุ่มหุ้นที่ดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนบ้านเราน่าได้รับผลตอบรับเชิงบวก และการให้ความสำคัญในเรื่องของสุขภาพที่ทำให้อาจเห็นการออกมาตรการที่คล้ายกับโอบามาแคร์ โดยด้านพลังงานทดแทน สุขภาพ และการค้าระหว่างประเทศก็น่าจะช่วยให้ตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกมีความน่าสนใจและความเสี่ยงน้อยลง

ขณะที่แนวโน้มทิศทางเงินทุนไหลเข้า (Fund Flow) ขณะนี้มองว่าแรงขายต่างชาติไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแค่ที่หุ้นไทย เนื่องจากกระแสเงินทุนไหลออกทั้งภูมิภาคหลังจากเจอสถานการณ์โควิด-19 แต่ปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณไหลออกที่เริ่มน้อยลงต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างดูว่าถึงจุด Stable แล้วหรือยัง หลังจากที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยออกไปแล้วราว 3 แสนล้านบาท โดยการที่เงินจะไหลกลับมายังตลาดหุ้นไทยได้หรือไม่ ต้องติดตามดูเรื่องของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ และวัคซีนโควิด-19 ว่าจะออกมาได้จริงหรือไม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวจะเป็นปัจจัยให้นักลงทุนตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะสามารถจัมบ์สตาร์ทได้เร็วหากสถานการณ์โควิด-19 จบ

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังมีแนวคิดที่จะเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการให้สิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับหุ้นไอพีโอกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ คล้ายกับคอนเซ็ปต์ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อผลักดันและก่อให้เกิดแรงจูงใจสำหรับกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ตั้งแต่ยังไม่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงยังมีแนวคิดที่จะออกดัชนีต่างๆ เพิ่มเติม จากเดิมที่มีเพียงดัชนีกลุ่มเวลบีอิ้ง SETHD และ SETCLMV เพื่อสร้างจุดขายและเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนสามารถเข้าลงทุนได้หลายหลายมากขึ้น

สำหรับภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือน ต.ค.63 SET Index ปิดที่ 1,194.95 จุด ลดลง 3.4% จากเดือนก่อน และปรับลดลง 24.4% จากสิ้นปีก่อน อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับ MSCI ASEAN อย่างไรก็ดี SET Index ที่ปรับลดลงทำให้อัตราส่วน P/E ratio ปรับลดลงมาใกล้เคียงกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค อีกทั้งอัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือน ต.ค.63 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย

ในส่วนของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมใน SET และ mai ในเดือน ต.ค.63 อยู่ที่ 53,269 ล้านบาท ทำให้ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 63 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมอยู่ที่ 63,417 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ mai Index ทำสถิติสูงสุดในปี 63 ที่ 327.12 จุด (7 ต.ค.) ก่อนปิดที่ 309.56 จุด ณ สิ้นเดือน ต.ค.63

ทั้งนี้ เดือนนี้มีผู้ลงทุนในประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 โดยผู้ลงทุนต่างชาติยังมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยใน 10 เดือนแรกของปี 63 ขายสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทยกว่า 2.98 แสนล้านบาท ในขณะที่ผู้ลงทุนกลุ่มอื่นเป็นผู้ซื้อสุทธิ

นอกจากนี้ เดือน ต.ค.63 มีกิจกรรม IPO อย่างต่อเนื่อง โดยมีบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ใน SET 4 บริษัท ใน mai 5 บริษัท ทำให้ใน 10 เดือนแรกของปี 63 SET มีมูลค่าระดมทุน (IPO) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ใน ASEAN

ขณะที่ mai Index ทำสถิติสูงสุดในปี 63 ที่ 327.12 จุด (7 ต.ค.) ก่อนปิดที่ 309.56 จุด ณ สิ้นเดือน ต.ค.63 สำหรับ Forward และ Historical P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือน ต.ค.63 อยู่ที่ระดับ 21.5 เท่า และ 20.7 เท่าตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 17.0 เท่า และ 18.2 เท่าตามลำดับ อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือน ก.ย.63 อยู่ที่ระดับ 3.54% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.77%

ด้านภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 372,792 สัญญา ลดลง 13.8% จากเดือนก่อน โดยเป็นการลดลงในเกือบทุกประเภท ยกเว้น SET 50 Index Options อย่างไรก็ตาม ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2563 ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 456,923 สัญญา เพิ่มขึ้น 9.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่เพิ่มขึ้นจาก SET50 Index Futures, Gold Online Futures และ Currency Futures


กำลังโหลดความคิดเห็น