ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) เทรดวันแรกต่ำจอง ลดลง 0.14 บาท หรือ 3.68% จากราคาไอพีโอที่กำหนดขายหุ้นละ 3.80 บาท โบรกเกอร์ประเมินราคาเหมาะสมสูงสุดที่ 5 บาท
หุ้น SFT หรือบริษัท ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เข้าซื้อขายเป็นวันแรกเช้านี้ พบว่า ราคาหุ้นเมื่อเปิดตลาดอยู่ที่ 3.72 บาท ลดลง 0.08 บาท หรือ 2.11% จากราคาขาย IPO ที่ 3.80 บาท และปิดเทรดช่วงเช้าที่ที่ 3.86 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท หรือ 1.58% จากราคาขาย IPO ที่ 3.80 บาท มูลค่าซื้อขาย 584.66 ล้านบาท เมื่อปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 3.66 บาท ลดลง 0.14 บาทหรือ 3.68% และระหว่างวันราคาหุ้นปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 3.94 บาทต่ำสุดที่ 3.66 บาท มูลค่าซื้อขาย 793.41 ล้านบาท
บล.ทิสโก้ ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของ SFT เราอิงกับ PER ของกลุ่ม MAI PKG และหุ้นที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกันและมีสภาพคล่องในการซื้อขายได้แก่ SFLEX ที่อยู่ใน SET และให้ส่วนลดด้านสภาพคล่องราว 20% จะคิดเป็น PER ที่ 30-35 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่าที่เหมาะสม 4.46-5.20 บาทโดยการเติบโตของ SFT จะขยายตัวได้ดีในปี 2022F จากการเริ่มสายการผลิตใหม่ที่ได้เงินจาก IPO ไปลงทุนและต่อเนื่องไปยังปี 2023F จากการขยายเครื่องจักรในเฟสที่ 2
บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นบมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) (SFT) ประเมินราคาเป้าหมายที่ 5 บาท โดยคาดกำไรสุทธิปี 2563-2565 เติบโตเฉลี่ย 26.3% CAGR
บล.เอเซีย พลัส เผยบทวิเคราะห์ฯ ประเมิน Fair Value ของ SFT ปี 2564 เท่ากับ 4.60 อิง PER 21 เท่า และคาดหวัง Div Yield เฉลี่ยราว 2% ต่อปี ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิปี 2563-64 จะเติบโต 36.7% และ 22.8% เทียบปีก่อน จากสมมติฐานปริมาณขายฉลากหดตัวรัดรูปปี 2563-64 จะเพิ่มขึ้น 13.7% และ 14.5% ตามลำดับ จากคำสั่งซื้อของลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) และหนุนให้แนวโน้มประสิทธิภาพการทำกำไรดีขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ SFT ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉลากสินค้าประเภทฟิล์มหดรัดรูป (Shrink film) มีลูกค้าหลักคือ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มซึ่งเติบโตแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่ม Functional Drink ซึ่งเป็นกระแสนิยมในปัจจุบัน ทำให้ SFT ได้อานิสงส์เชิงบวกจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดราว 20% หรืออยู่ในอันดับ 2 ของอุตสาหกรรมฯ โดยระดมทุน IPO เพื่อใช้ในการขยายโรงงานแห่งใหม่ ชำระเงินกู้ยืมและเงินทุนหมุนเวียน