สศค.เผยเศรษฐกิจไทยเดือน ก.ย.63 ทิศทางดีขึ้น หลังคลายล็อกดาวน์ หนุนอุปสงค์ขยายตัว สะท้อนจากการบริโภคสินค้าคงทนและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น เช่นเดียวกับการส่งออกสินค้าที่หดตัวในอัตราชะลอลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ด้านอุปทาน พบว่า ภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมยังคงปรับตัวดีขึ้น แต่ภาคบริการด้านการท่องเที่ยวยังคงชะลอตัว
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยเดือนกันยายน 2563 มีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยเฉพาะด้านอุปสงค์ สะท้อนจากการบริโภคสินค้าคงทนและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากมาตรการผ่อนคลายการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นเดียวกับการส่งออกสินค้าที่หดตัวในอัตราชะลอลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ด้านอุปทาน พบว่า ภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมยังคงปรับตัวดีขึ้น แต่ภาคบริการด้านการท่องเที่ยวยังคงชะลอตัว
สำหรับภาคการส่งออกเดือนกันยายน พบว่า การส่งออกติดลบ 3.9% ปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน จากการขยายตัวต่อเนื่องในกลุ่มสินค้า คือ สินค้าอาหาร สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด ขณะที่การส่งออกรถยนต์ น้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และแผงวงจรไฟฟ้ายังชะลอตัว ด้านการนำเข้าติดลบ 9.1%
ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาที่ปรับตัวดีขึ้น โดยกลับมาขยายตัว 0.1% และ 3.3% จากเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับการบริโภคในหมวดสินค้าคงทนที่สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรายได้เกษตรกรที่แท้จริงขยายตัวเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันและขยายตัวสูงสุดในรอบ 25 เดือน
ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ 0.7% ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.3 ต่อปี ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะสิ้นเดือนสิงหาคม 2563 อยู่ที่ 47.9% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศสิ้นเดือนกันยายน 2563 อยู่ในระดับสูงที่ 251.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ