Fitch Ratings ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ ความเข้มแข็งภาคการคลังและภาคการเงินต่างประเทศอยู่ในระดับสูง และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า วันนี้ (29 ต.ค.) บริษัท Fitch Ratings (Fitch) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดย Fitch Ratings ได้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Credit Rating) ที่ BBB+ และมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เนื่องจากประเทศไทยมีความเข้มแข็งภาคการคลังและภาคการเงินต่างประเทศอยู่ในระดับสูง ซึ่งมีส่วนช่วยรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อย่างรุนแรง (Shock) และความผันผวนของวิกฤตเศรษฐกิจ รวมทั้งสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้เป็นอย่างดี
ขณะที่ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) มีความแข็งแกร่งเป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและเป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 เพื่อรักษาวินัยทางการคลัง ทั้งนี้ การขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินนโยบายการคลังจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นในระยะสั้น อย่างไรก็ดี Fitch เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวและเติบโตในระยะปานกลางได้ โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะฟื้นตัวขึ้นร้อยละ 3.8 เป็นผลจากการดำเนินมาตรการทางการคลังของรัฐบาลอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 และงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2564 มีผลบังคับใช้แล้ว สร้างความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพการใช้จ่ายของภาครัฐในภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศมีความเปราะบางได้
ด้านภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงมีความเข้มแข็ง โดยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ ประเด็นที่ Fitch ให้ความสนใจและจะติดตามอย่างใกล้ชิด คือ สัดส่วนหนี้ภาคครัวเรือนต่อ GDP และความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจมีผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาครัฐ และการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะปานกลาง